ตลาดการเงินทั่วโลกหันมาจับตา “แร่เงิน” (Silver) หรือที่ต่างชาติขนานนามว่า “โลหะปีศาจ” (Devil’s Metal) หลังราคาพุ่งแรงแซงหน้าทั้งทองคำและ Bitcoin จนกลายเป็นสินทรัพย์ที่ร้อนแรงที่สุดของปี 2025 ท่ามกลางภาวะขาดแคลนอุปทานที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ราคาแร่เงินดีดขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 58.91 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ในช่วงต้นเดือนธันวาคม คิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 104% นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ปรากฏการณ์ครั้งนี้ ทำให้ตลาดต้องหันมาประเมินใหม่ถึงบทบาทของแร่เงินในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยุคใหม่

Paul Syms ผู้เชี่ยวชาญจาก Invesco ระบุว่า ความต้องการแร่เงินในขณะนี้สูงมากจนถึงขั้นที่ “บางรายต้องขนส่งแร่เงินทางเครื่องบินแทนเรือขนส่งสินค้า” เพื่อให้ทันต่อความต้องการส่งมอบ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความตึงตัวของตลาดในระดับวิกฤต
3 ปัจจัยหลักดันราคา “แร่เงิน” ทำ All Time High
การที่ราคาแร่เงินพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดในรอบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากแรงเก็งกำไรเพียงชั่วข้ามคืน แต่กำลังขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างพื้นฐานครั้งสำคัญ ปัจจัยแรกคือ วิกฤตความขาดแคลนใน “ห้องนิรภัยลอนดอน” ซึ่งถือเป็นหัวใจของการค้าโลหะโลก
ข้อมูลจากสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน (LBMA) ระบุชัดเจนว่า สต็อกแร่เงินได้หายไปถึง 1 ใน 3 จากระดับ 31,023 เมตริกตันในปี 2022 เหลือเพียง 22,126 เมตริกตันในเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งนับเป็นจุดต่ำสุดในรอบหลายปี สะท้อนให้เห็นว่าของในคลังกำลังร่อยหรออย่างน่าตกใจ
ปัจจัยต่อมาคือ แรงซื้อที่บ้าคลั่งจาก “อินเดีย” ผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของโลก ที่กวาดซื้อแร่เงินจำนวนมหาศาลเพื่อรองรับภาคเกษตรกรรมและเทศกาลดิวาลี (Diwali) ความต้องการที่พุ่งสูงนี้ ส่งผลให้ราคาแร่เงินในประเทศอินเดียพุ่งทำนิวไฮซึ่งถือเป็นสัญญาณ Real Demand ที่แข็งแกร่งอย่างมาก
ปัจจัยสุดท้ายคือ คลื่นลูกใหม่จาก “เทคโนโลยีแห่งอนาคต” ที่เข้ามาเปลี่ยนสมดุลตลาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์, การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึงฮาร์ดแวร์สำหรับ AI ล้วนต้องการใช้แร่เงินเป็นส่วนประกอบสำคัญ สภาวะนี้ได้เปลี่ยนตลาดที่เคยมีอุปทานส่วนเกิน ให้พลิกกลับตาลปัตรกลายเป็น “ภาวะขาดดุล” อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผู้ผลิตต้องแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างดุเดือด
มุมมองนักวิเคราะห์: ไปต่อหรือพอแค่นี้?
Rhona O’Connell หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์จาก Stone X ชี้ให้เห็นว่า ตลาดในขณะนี้กำลังเผชิญกับสภาวะ “Short Squeeze” หรือการบีบให้ซื้อคืนอย่างรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากไม่คาดคิดว่า ราคาจะดีดตัวแรงขนาดนี้ แม้แร่เงินจะได้รับฉายาว่า “โลหะปีศาจ” ที่มีความผันผวนสูง แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานด้านอุปทานที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า แร่เงินมีศักยภาพที่จะรักษาระดับราคาที่สูงไว้ได้ และยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีกในระยะยาว
เหตุการณ์นี้ ถือเป็นกรณีศึกษาชั้นยอดสำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นสายคริปโตหรือทองคำ เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ “ความต้องการใช้งานจริง” (Real Demand) จากภาคอุตสาหกรรม มาปะทะเข้ากับ “วิกฤตของขาดตลาด” อย่างจัง พลังการระเบิดของราคานั้น สามารถรุนแรงและสร้างผลตอบแทนได้มหาศาลยิ่งกว่าสินทรัพย์ดิจิทัลบางตัวเสียอีก
ที่มา:cnbc

