<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจ๊งจริง? พิสูจน์คำท้า ดร.โสภณ หลังแซะแรง “เชื่อท็อป จิรายุส ซื้อ BTC ป่านนี้รัฐบาลหมดตัว”

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

กลายเป็นประเด็นคำถามตัวโตๆ ที่ทำเอาชาวเน็ตและนักลงทุนต้องรีบหยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมาตรวจสอบทันที เมื่อ ดร.โสภณ พรโชคชัย นักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความจุดชนวนวิวาทะ โดยพาดพิงถึงแนวคิดของ “ท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ที่เคยเสนอให้รัฐบาลไทยสะสม Bitcoin เป็นทุนสำรองเมื่อปีที่ผ่านมา โดยดร.โสภณระบุข้อความชวนสงสัยในทำนองว่า “คิดดูถ้าปีที่แล้ว รัฐบาลบ้าจี้ซื้อบิตคอยน์ตามคำแนะนำ ป่านนี้คงเจ๊งแล้ว” ข้อความนี้เปรียบเสมือนการโยนคำถามก้อนใหญ่ใส่สังคมว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับระดับชาตินั้น เป็น “หายนะ” จริงตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นเพียงวาทกรรมที่ยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเลขกันแน่

ภาพโพสต์ของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ในกลุ่ม Bitcoin Thai Community

เพื่อให้สิ้นสงสัย ทีมข่าวจึงได้ทำการย้อนรอยไทม์ไลน์กราฟราคา Bitcoin ตลอดทั้งปี 2024 เพื่อจำลองสถานการณ์จริงว่า หากรัฐบาลไทยตัดสินใจ “กดปุ่มซื้อ” ในปีที่แล้ว ผลลัพธ์ในสมุดบัญชีวันนี้จะเป็นสีแดงเดือดหรือสีเขียวขจี โดยข้อมูลจากกราฟราคาเผยให้เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจยิ่ง เริ่มต้นปี 2024 ที่ระดับราคาประมาณ 44,161 ดอลลาร์ ก่อนที่กราฟจะเริ่มไต่ระดับความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไปแตะจุดสูงสุดประวัติการณ์ (New High) ที่ระดับทะลุ 106,142 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี และปิดศักราชที่ระดับ 93,586 ดอลลาร์ ตัวเลขเหล่านี้คือกุญแจสำคัญที่จะไขคำตอบว่าสถานะการเงินของชาติจะเป็นอย่างไร

ภาพแสดงสถิติราคา bitcoin จาก bitbo.io

เมื่อนำชุดข้อมูลดังกล่าวมาเทียบเคียงกับราคาตลาด ณ ปัจจุบัน (8 ธันวาคม 2025) ที่ Bitcoin ยืนฐานอยู่อย่างมั่นคงแถวๆ 91,000 ดอลลาร์ คำถามที่น่าขบคิดคือ นิยามคำว่า “เจ๊ง” ของดร.โสภณ มาจากสมมติฐานจุดไหน? เพราะหากรัฐบาลเริ่มสะสมตั้งแต่ต้นปี 2024 ที่ฐานราคา 44,000 ดอลลาร์ มูลค่าทรัพย์สินในวันนี้จะเติบโตขึ้นเกินหนึ่งเท่าตัว ซึ่งนั่นหมายถึงกำไรมหาศาล หรือแม้แต่หากเข้าซื้อแบบถัวเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ราคาแกว่งตัวในกรอบ 60,000-70,000 ดอลลาร์ พอร์ตการลงทุนก็น่าจะยังคงสถานะเป็นบวกอยู่ดี

แน่นอนว่าในโลกการลงทุน ย่อมมีจุดที่เรียกว่า “ยอดดอย” หากสมมติสถานการณ์ที่โชคร้ายที่สุดคือรัฐบาลทุ่มซื้อทั้งหมดที่จุดสูงสุด 106,142 ดอลลาร์ ตัวเลขทางบัญชีในวันนี้อาจแสดงผลขาดทุนบางส่วน แต่คำถามสำคัญคือ การติดลบชั่วคราวจากจุดสูงสุดถือเป็นภาวะ “เจ๊ง” หรือ “ล่มจม” จนกู้ไม่กลับจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงความผันผวนตามปกติของสินทรัพย์ที่เคยสร้างผลตอบแทนชนะสินทรัพย์อื่นมาตลอดทั้งปี บทสรุปของเรื่องนี้อาจไม่ได้อยู่ที่ใครเสียงดังกว่า แต่อยู่ที่ว่า “ความจริง” ของตัวเลข บ่งบอกอะไรกับเรากันแน่

ดังนั้น การออกมาตั้งข้อสังเกตของ ดร.โสภณ ในครั้งนี้ จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประชาชนและผู้กำหนดนโยบาย ว่าก่อนที่เราจะเชื่อหรือคัดค้านแนวคิดใดๆ โดยเฉพาะเรื่องปากท้องและอนาคตทางการเงินของชาติ เราได้ลองกางกราฟและคำนวณตัวเลขด้วยตาตัวเองแล้วหรือยัง? หรือแท้จริงแล้ว เส้นแบ่งระหว่าง “วิสัยทัศน์” กับ “ความเสี่ยง” อาจจะบางเบากว่าที่เราคิด ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกหยิบข้อมูลชุดไหนมาตัดสินความจริง

ที่มา: กลุ่ม Bitcoin Thai Community , bitboio