<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เลิก DCA แบบเดิมๆ? เปิดคัมภีร์ 4 กลยุทธ์ลงทุนที่ “เหนือชั้นกว่า” เพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในโลกของการลงทุน การถัวเฉลี่ยด้วยกลยุทธ์ DCA เปรียบเสมือน “เครื่องช่วยทุ่นแรง” สำหรับนักลงทุนมือใหม่และมนุษย์เงินเดือนที่ใครหลายคนชอบใช้งาน ด้วยกฎเหล็กที่เรียบง่ายคือ “วินัยชนะทุกสิ่ง” การทยอยลงทุนเท่ากันทุกเดือนช่วยตัดอารมณ์ความกลัวและความโลภออกไป ทำให้เราสะสมสินทรัพย์ได้ในทุกสถานการณ์

แต่คำถามที่น่าสนใจคือ “ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยล่ะ?”

สำหรับนักลงทุนที่เริ่มมีประสบการณ์ มีเงินก้อน หรือมีความเข้าใจตลาดมากขึ้น การทำ DCA แบบเดิมอาจดูเป็นการ “เสียโอกาส” มากเกินไป เพราะเราอาจได้ราคามาสูงจนทำให้เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 4 กลยุทธ์ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่า มีโอกาสชนะ DCA หากใช้อย่างถูกวิธี

1. Lump Sum Investing: พลังของ “เงินก้อน” และ “เวลา”

กลยุทธ์นี้คือขั้วตรงข้ามของ DCA แทนที่จะซอยเงินลงทุนเป็นก้อนเล็กๆ รายเดือน คุณ “ทุ่มเงินทั้งหมดที่มี” ลงไปตูมเดียวแล้วรอผลกำไรเติบโต หรือจะเรียกว่าเป็นการซื้อแล้วลืมก็ว่าได้

ทำไมถึงอาจดีกว่า DCA?

จากงานวิจัยของ Vanguard ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนระดับโลก พบว่า Lump Sum ให้ผลตอบแทนชนะ DCA ถึงประมาณ 67% ซึ่งเหตุผลทางคณิตศาสตร์นั้นเรียบง่าย

  1. ตลาดหุ้น/สินทรัพย์มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะยาว: การนำเงินไปแช่ในตลาดให้เร็วที่สุด จึงมักดีกว่าการถือเงินสดรอลงทุน  
  2. เงินปันผล: การลงเงินก้อนทำให้คุณได้รับปันผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยตั้งแต่วันแรก 

ลองคิดดูง่ายๆว่าหากเรา DCA Bitcoin เรื่อยๆ จนมีราคาเฉลี่ยที่ $70,000 แล้วขายออกไปตอน $100,000 เราจะได้กำไรเพียง 42% ในขณะที่ถ้าลงตูมเดียวที่ $50,000 เราจะได้กำไรถึง 100%

ข้อควรระวัง

  • ความเสี่ยงทางจิตใจ: หากคุณลงเงินก้อนวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ตลาดถล่มลง 20% พอร์ตคุณจะติดลบทันที ความเครียดจะสูงกว่า DCA มาก
  • สินทรัพย์ต้องเติบโตจริง : ถ้าลงทุนผิดพลาดจะยิ่งมีแต่เสียและตามทุนคืนไม่ได้
  • ราคาที่ซื้ออาจยังไม่ใช่จุดต่ำสุด : พอร์ตอาจติดลบได้ทำให้ขาดสภาพคล่อง
  • เหมาะกับใคร: คนที่มีเงินก้อนเย็นเจี๊ยบ และมีจิตใจที่แข็งแกร่งดุจหินผา มองข้ามความผันผวนระยะสั้นได้

2. Value Averaging (VA): นักแม่นปืนผู้กำหนด “มูลค่าเป้าหมาย”

VA คือการอัพเกรด DCA ให้ฉลาดขึ้น แทนที่จะกำหนดว่าต้องใส่เงินครั้งละเท่าไหร่ จะกลายเป็นการกำหนดว่าพอร์ตควรต้องมีมูลค่าเท่าไหร่

วิธีการทำงาน: สมมติคุณตั้งเป้าให้พอร์ตโตเดือนละ 10,000 บาท

  • เดือนที่ 1: ลงทุน 10,000 บาท
  • เดือนที่ 2: เป้าคือ 20,000 บาท
    • กรณีตลาดร่วง: พอร์ตเหลือ 5,000 บาท -> คุณต้องเติมเงิน 15,000 บาท (ซื้อหนักกว่าปกติ)
    • กรณีตลาดขึ้น: พอร์ตโตเป็น 25,000 บาท -> คุณ ไม่ต้องเติมเงิน หรืออาจจะ ขายออก 5,000 บาท (ขายทำกำไร)

ทำไมถึงอาจดีกว่า DCA?

VA บังคับให้เราทำสิ่งที่ยากที่สุด คือ “กล้าซื้อสวนตลาดขาลงอย่างหนักหน่วง” และ “รู้จักพอในตลาดขาขึ้น” ส่งผลให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย ของ VA มักจะต่ำที่สุดในทุกกลยุทธ์

ข้อควรระวัง

  • ต้องมีเงินสำรอง : ในวิกฤตหนักๆ ที่ราคาร่วง 50-60% ระบบ VA อาจสั่งให้คุณหาเงินมาเติมพอร์ตจำนวนมากในเดือนเดียว ถ้าคุณไม่มีเงินสำรอง ระบบนี้จะล้มเหลวทันที ซึ่งต่างจาก DCA ที่จำกัดวงเงินตายตัว
  • กับดักขาลงยืดเยื้อ : ในกรณีที่ตลาดเป็นขาลงต่อเนื่อง นักลงทุนจะประสบกับความเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากทั้งทางด้านการเงินและจิตใจ
  • เสี่ยงถลำลึกเกินสมควร : บางครั้งอาจทุ่มเงินไปมากเกินพอดีเสี่ยงทำให้ความผิดพลาดยิ่งรุนแรง
  • เหมาะกับใคร: คนที่มีกระแสเงินสดเหลือเฟือ และชอบความท้าทายในการบริหารพอร์ต

3. Enhanced DCA (Dynamic DCA): ทางสายกลางที่ยืดหยุ่น

หาก Lump Sum เสี่ยงไป และ VA ยุ่งยากไป นี่คือกลยุทธ์ยอดฮิตของนักลงทุนยุคใหม่ คือการ DCA แบบ “ดูตาม้าตาเรือ”

วิธีการทำงาน: ใช้หลักการ DCA แต่ปรับเปลี่ยนจำนวนเงินตามสถานการณ์ในตลาด โดยใช้อินดิเคเตอร์ง่ายๆ เช่น RSI, PE Ratio หรือ Fear & Greed Index เช่น

  • โซนปกติ: ลงทุน 5,000 บาท
  • โซนของถูก : เพิ่มเงินเป็น 7,000 – 10,000 บาท
  • โซนของแพง  : ลดเงินเหลือ 2,000 – 3,000 บาท

ทำไมถึงอาจดีกว่า DCA?

มันช่วยแก้จุดอ่อนของ DCA ที่ชอบไป “ดอย”   โดยไม่จำเป็น การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตอนที่คนอื่นกลัว จะช่วยดึงต้นทุนเฉลี่ยลงมาได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ต้องคำนวณซับซ้อนเหมือน VA

ข้อควรระวัง

  • วินัยต้องเป๊ะ: ต้องระวังไม่ให้ความรู้สึกส่วนตัวมาแทรกแซงสัญญาณอินดิเคเตอร์
  • ต้องมีเงินสำรองเพิ่มเติม : เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเดือนถัดไปตลาดจะเป็นอย่างไรต้องมีเงินเผื่อไว้เสมอแต่ไม่มากเท่ากับ VA เพราะมีเพดานที่กำหนดไว้
  • เหมาะกับใคร: มนุษย์เงินเดือนที่พอดูกราฟเป็นบ้าง และอยาก Optimize ผลตอบแทน

4. Rebalancing: ศิลปะแห่งการจัดสมดุล

กลยุทธ์นี้ไม่ได้เน้นจังหวะการเติมเงิน แต่เน้น “การบริหารไส้ใน” ของพอร์ตที่มีสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น , คริปโต , ทองคำ

วิธีการทำงาน: กำหนดสัดส่วนที่ต้องการ เช่น หุ้น 50% : คริปโต 30% : ทอง 20% เมื่อเวลาผ่านไป หากสินทรัพย์ได้ให้ผลตอบแทนสูงก็ให้ทำการเทขายส่วนเกินเพื่อนำเงินมาซื้อสินทรัพย์อื่นที่ยังไม่ให้ผลตอบแทนสูงเท่า (ยังมีโอกาสวิ่งต่อ) และปรับสมดุลพอร์ตให้มีสัดส่วนเท่าเดิม

ทำไมถึงอาจดีกว่า DCA?

นี่คือระบบอัตโนมัติที่สั่งให้คุณ “ขายของแพง ไปซื้อของถูก” อยู่ตลอดเวลา โดยที่คุณไม่ต้องคาดเดาทิศทางตลาด ช่วยลดความเสี่ยงพอร์ตโดยรวม (Drawdown) ได้ดีกว่าการเดิมพันกับการลงทุนในสินทรัพย์เดียว 

ข้อควรระวัง

  • ค่าธรรมเนียม: การซื้อขายบ่อยๆ อาจเสียค่าคอมธรรมเนียมเยอะ
  • ปวดหัว : ต้องดูสินทรัพย์ที่ต่างประเภทกันหลายตัวอาจทำให้เกิดความสับสน
  • วิกฤตไม่คาดคิด : บางครั้งเมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นการกระจายความเสี่ยงอาจยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่เมื่อทุกอย่างร่วงพร้อมกันหมดทำให้บริหารยากขึ้น
  • เหมาะกับใคร: คนที่ลงทุนระยะยาว และกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท

สูตรไหนคือสูตรสำเร็จของคุณ?

สุดท้ายนี้คำว่าหนทางที่ “ดีกว่า” อาจไม่มีอยู่จริงแต่คำว่า “เหมาะกว่า” ยังคงเป็นคำที่จับต้องได้ 

  • ถ้าอยากรวยเต็มเม็ดเต็มหน่วย และรับแรงกระแทกได้ Lump Sum อาจเป็นตัวเลือกที่ใช่
  • ถ้าอยากมีต้นทุนต่ำสุด และมีเงินสดสำรองเยอะ การ Value Averaging (VA) ก็น่าสนใจ
  • อยากชนะตลาดมากกว่าคนอื่น แต่ไม่อยากเครียด Enhanced DCA อาจเป็นคำตอบ
  • ถ้าไม่อยากเดิมพันหมดหน้าตัก และมีแผนสำรองเยอะๆ Rebalancing ก็ไม่เลว
  • อยากนอนหลับสบายไม่ต้องทุกข์ร้อนจ้องกราฟ DCA ธรรมดาคือที่สุด