<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

‘อ.ตั๊ม พิริยะ’ มองวัฏจักร 4 ปี Bitcoin อาจยังไม่ได้หายไป แต่จะเปลี่ยนไปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้น 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา  อาจารย์ตั๊ม หรืออาจารย์พิริยะ สัมพันธารักษ์  อาจารย์ผู้ร่วมก่อตั้ง CDC Chaloke Dot Com ได้มีโอกาสร่วมเป็นแขกรับเชิญในรายการ ทันโลกกับ Trader KP บนช่องทาง Youtube โดยได้ร่วมพูดคุยและแชร์มุมมองหลากหลายเป็น รวมถึงไฮไลต์สำคัญที่ว่าตลาดปี 2026 จะจบ Bull Run หรือเริ่ม Cycle ใหม่ และ 4-Year Cycle ของ Bitcoin ยังมีอยู่ไหม ?

อาจารย์ตั๊ม กล่าวถึง ตลาดคริปโตปี 2026 ว่า ผมไม่ได้มองปีหน้า แตกต่างจากปีนี้เท่าไหร่ ปัจจัยทุกอย่างที่มันเข้ามาใหม่ในปีนี้ มันก็ยังดำเนินต่อไปในปีหน้า เพียงแต่ว่า มันต้องมองว่า การเคลื่อนไหวของสถาบัน การเคลื่อนไหวของประเทศ เขาเคลื่อนไหวช้า เขาเคลื่อนไหวสุขุม เป็น smart money ใช้คำนั้น 

เวลาเขาซื้อ เขาก็ไม่ซื้อให้กระโตก กระตาก ให้ราคาขึ้น เวลาเขาขาย เขาอาจจะทุบให้มันแรง ๆ เพราะเขาอยากซื้อถูก เวลาเราเข้าใจคนกลุ่มนี้ เราต้องมองตลาดอีกแบบหนึ่งเปลี่ยนไป

สิ่งที่สำคัญอันนึง ถ้าเราดูรีพอร์ต ของ River Financial ที่เพิ่งออกมา 2 วันที่แล้ว เราจะเห็นว่า ตอนนี้สถาบันถือ Bitcoin มากกว่า กระดานเทรดคริปโตแล้ว แปลว่า Bitcoin ของ กระดานเทรดคริปโต ถูกถอนออกแล้วไปอยู่ในมือของสถาบันมากกว่า เพราะฉะนั้นผมมองว่า ในปี 2026 การเคลื่อนไหวหลักๆ ของราคา Bitcoin จะถูกกำหนดโดยสถาบันเป็นหลัก 

ซึ่งอาจจะทำให้เทรดเดอร์รายย่อยเจ็บตัวได้ เพราะสถาบันเข้ามา สิ่งที่เกิดขึ้นหลักๆ เลย คือ พวกเทคนิคอลอินดิเคเตอร์ มันจะเริ่มรวนแล้ว มันจะเริ่มมีนอยซ์เยอะ เริ่มเทรดยาก 

นักเก็บออม คนที่ใช้ Bitcoin ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมาย แต่ว่าสายเทรดอาจจะต้องเริ่มปรับกลยุทธ์แล้วว่า ตลาดมันจะมีนิสัยที่เปลี่ยนไปแล้ว เพราะจะมีแพทเทิร์นใหม่ที่เกิดขึ้น อันนี้ก็ต้องระวัง สำหรับคนที่เป็นเทรดเดอร์หรือนักเก็งกำไร 

แต่ Bitcoin ก็ตั้งตัวอยู่ใน Position ที่น่าสนใจมากๆ ผมเคยพูดว่า Bitcoin เจริญเติบโต ตามปริมาณเงินของโลก ยิ่งรัฐบาลพิมพ์เงินเยอะ Bitcoin ก็โตเยอะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง  4-5 เดือนที่ผ่านมา คือ Bitcoin อยู่กับที่ ราคาร่วงลงด้วยซ้ำ 

ในขณะที่ปริมาณเงินของโลกเพิ่มขึ้น อันนี้เป็นปรากกฎการณ์ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

ถ้าเราคิดว่า มันเป็นเหมือนเดิม ปริมาณเงินของโลกเพิ่มขึ้น ในที่สุดเงินก็ต้องไหลมา Bitcoin แต่ก่อนอื่น มันจะไหลไป Speculate ใน asset  อื่น ๆ ก่อน เช่น หุ้น  AI , หุ้น tech ไรงี้ 

ในที่สุดมันก็ไหลกลับมาหา store of value ของมัน ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือ Bitcoin  เพราะฉะนั้น ผมก็ยังมองอยู่ว่า ปีนี้ ปี 2026 เป็นปีที่ประหลาดมากๆ  เป็นปีที่ fundamental ทุกอย่างมันบวกมากๆ  

ปี2025 ที่ผ่านมา ก็เป็นปีที่ประหลาดที่สุด ที่เคยเจอมา ทุกอย่างบวกหมดเลย รัฐบาลรับ กองทุนเก็บ ราคาไม่ไปไหน 

ใครซื้อ Bitcoin เมื่อตอนต้นปี คุณแพ้คนซื้อทองคำ คุณแพ้คนซื้อหุ้น s&p 500  เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นนะ เพราะงั้นผมคาดหวังว่า ปี 2026 จะกำลังเกิด สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น

สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น 

สิ่งที่เคยเกิดขึ้น คือ เราหลายคนคาดหวัง  4-Year Cycle  หรือ วัฏจักร 4 ปีของ Bitcoin เราเคยเปิดชาร์ตให้ดูว่า Bitcoin มันขึ้นมาถึงจุดท็อปของ 4-Year Cycle  แล้ว แต่มันยังไม่ลง แล้วไม่นาน ราคา Bitcoin มันก็ลงเลย

อาจารย์ตั๊ม กล่าวเสริมว่า เห็นง่าย ๆ การที่ราคา bitcoin แตะ 1 แสนดอลลาร์ มันเป็น Psychological Goal หรือ เป้าหมายเชิงจิตวิทยาของหลาย ๆ คน ของ OG  bitcoiner สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราเห็น Bitcoin เก่า ๆ ถูกเทขายออกจำนวนมาก 

สิ่งที่เขาบอก 4-Year Cycle ตายแล้ว คือ Bitcoin ถูกเทขายจำนวนมากขนาดนั้น แต่ราคาลงมาแค่ 20-30% จากจำนวนที่ถูกเทขาย ทั้งที่ราคามันควรจะลงมา 80-90% ได้แล้ว ก็อาจจะเป็น Factor หนึ่ง ที่ทำให้หลายคนมอง Bullish 

ผมมองว่า ตลาดจะหักหลักทั้ง 2 แนวคิดนี้ เราอาจจะเห็น compromise อะไรแปลกๆ ที่ 4-Year Cycle  อาจจะยังไม่ได้หายไป แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้น 

เราอาจจะได้เห็น 4-Year Cycle ของการ Sideways  เช่น Sideways down อะไรแบบนี้ ไปอีกซักพักนึง ถึงกลางปี ถึงปลายปี หรืออาจจะเห็นการหักหลังโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้ ที่ราคาอาจจะพุ่งขึ้นไปเลย 

เพราะฉะนั้นเป็นปีที่ ผมมองว่า สำหรับผม ผมค่อนข้างตื่นเต้น เพราะว่า Bitcoin กลับเข้ามาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีใครรู้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น และนั่นมันคือ สิ่งที่ควรจะเป็นในฐานะของสินทรัพย์ที่เรียกว่า เป็นอิสระ 

คือเรียกว่า ไม่ควรจะมีใครรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าทุกคนรู้ว่า มันจะเกิดไรขึ้น 

หากทุกคนรู้ว่ามันจะย่อ 80% ทุก 4 ปี , มันจะเด้ง 5-6 เท่า 10 เท่า ทุก 4 ปี มันจะเกิดเป็น แทรมโพลีน เอฟเฟกต์ คือ คนก็จะกะช่วงเวลาตรงนี้ ซื้อตรงนี้ ขายตรงนี้

ความผันผวนมันจะยิ่งโตขึ้น การที่ไม่รู้ว่า จะมีไรเกิดขึ้นเนี่ย มันจะทำให้ตลาดมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น อันนี้ก็ต้องรอดูว่า มันจะเป็นยังไง แต่ว่า ผมมองว่า Factor ที่เข้ามา มันส่งผลกระทบโดยรอบทั้งหมด ยังไม่เปลี่ยนแปลง แล้วก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย