<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจ้ามือ ASTER เจ้าเก่า โชว์สเต็ป “ซื้อยอดดอย-ขายตีนดอย” ซ้ำซาก รวมขาดทุนอ่วมกว่า 1,200 ล้านบาท

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

(16 ธ.ค.) – กลายเป็นประเด็นฮือฮาและกรณีศึกษาสำคัญในโลกคริปโทเคอร์เรนซี เมื่อแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนชื่อดัง Lookonchain ได้เปิดเผยพฤติกรรมการเทรดสุดบอบช้ำของ “นักลงทุนรายใหญ่” (ที่อยู่กระเป๋าขึ้นต้นด้วย 0xFB3B) ซึ่งดูเหมือนจะติดกับดักพฤติกรรม “ซื้อที่ยอดดอย และขายที่ตีนดอย” ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับโทเคน $ASTER จนส่งผลให้ยอดขาดทุนสะสมรวมกันทะลุหลัก 35.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 1,250 ล้านบาท) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลล่าสุดจาก Lookonchain ระบุว่า เมื่อประมาณ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา นักลงทุนรายใหญ่รายนี้ได้ดำเนินการโอนเหรียญ $ASTER จำนวน 13.44 ล้านโทเคน (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 11.67 ล้านดอลลาร์ ณ ราคาตลาดขณะนั้นที่ราว 0.87 ดอลลาร์) กลับเข้าไปยังกระดานเทรด Binance ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้เขาต้อง “รับรู้ผลขาดทุน” ทันทีอีก 1.37 ล้านดอลลาร์

สาเหตุของการขาดทุนครั้งล่าสุดนี้ เกิดจากการที่เหรียญจำนวน 13.44 ล้านโทเคนก้อนเดียวกันนี้ เพิ่งถูกเขาถอนออกมาจาก Binance เมื่อ 6 วันก่อนหน้า ซึ่งในขณะนั้นราคายังเทรดกันอยู่ที่ประมาณ 0.97 ดอลลาร์ (คิดเป็นมูลค่ารวมตอนถอน 13.04 ล้านดอลลาร์) เท่ากับว่าเป็นการซื้อแพงในสัปดาห์ก่อน และนำกลับไปขายถูกในวันนี้

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักลงทุนรายใหญ่ 0xFB3B ประสบผลขาดทุนหนักกับเหรียญ ASTER ก่อนหน้านี้ Lookonchain เคยรายงานวีรกรรมสุดเจ็บปวดของเขามาก่อน โดยเขาเคยเข้าซื้อเหรียญ $ASTER จำนวนมหาศาลถึง 64.53 ล้านโทเคน ในช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดแถว 2.07 ดอลลาร์ (ถอนจาก Gate.io) แต่ท้ายที่สุดกลับต้องยอมตัดใจโอนเหรียญจำนวนเดิมกลับไปขายบน Binance ในช่วงที่ราคาร่วงลงมาเหลือเพียง 1.54 ดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ในรอบเดียวกว่า 34.5 ล้านดอลลาร์

สำหรับ $ASTER เป็นโทเคน Governance ของแพลตฟอร์มกระดานเทรดแบบ Perpetual DEX (ซึ่งรีแบรนด์มาจาก APX) ปัจจุบันราคาได้ปรับตัวร่วงลงมาแล้วกว่า 60% จากจุดสูงสุด ท่ามกลางความผันผวนอย่างหนักในตลาด DeFi

กรณีศึกษาของนักลงทุนรายใหญ่ 0xFB3B จึงถือเป็นเครื่องเตือนใจชั้นดีสำหรับนักลงทุนทุกคนว่า แม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่ที่มีเงินทุนมหาศาล ก็สามารถตัดสินใจผิดพลาดเรื่องจังหวะเวลาการเข้าซื้อขาย และเผชิญกับการขาดทุนอย่างหนักในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้เช่นกัน หากขาดการวางแผนบริหารความเสี่ยงที่ดีพอ

ที่มา: @lookonchain