ปี 2025 ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นปีแห่ง “รถไฟเหาะ” ของโลกคริปโตเคอร์เรนซี จากความคาดหวังที่ Bitcoin (BTC) จะพุ่งทะลุ 120,000 ดอลลาร์ตามคำพยากรณ์ของเหล่านักวิเคราะห์ สู่ความเป็นจริงที่โหดร้าย เมื่อราคาดิ่งลงมาทดสอบแนวรับสำคัญที่ 80,000 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี ทิ้งไว้เพียงบทเรียนราคาแพง และพอร์ตการลงทุนที่พังทลายของนักลงทุนไทยจำนวนมาก
บทความนี้ Siam Blockchain จะพาไปย้อนรอย 5 ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่กลายเป็นบทเรียนสำคัญ ที่ต้องแลกมาด้วยมูลค่าความเสียหายมหาศาล
ความผิดพลาดประการแรกที่ทำให้นักลงทุนพอร์ตระเบิดมากที่สุดคือ “การใช้ Leverage ที่สูงเกินไปในช่วงแนวต้านจิตวิทยา” เมื่อราคา Bitcoin ขยับเข้าใกล้ระดับ 90,000 – 93,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางปี นักลงทุนไทยจำนวนมากที่กลัวตกรถได้ตัดสินใจเปิดโพซิชัน Long ด้วย Leverage ที่สูงเกินตัว เพื่อหวังกำไรจากการพุ่งทะลุ 100,000 ดอลลาร์

ที่มาภาพ : supplychaingamechanger
แต่เมื่อตลาดไม่สามารถยืนเหนือระดับจิตวิทยาดังกล่าวได้ การปรับฐานเพียงเล็กน้อยจึงนำไปสู่การล้างพอร์ตเป็นลูกโซ่ ซึ่งถือเป็นการขาดวินัยในการควบคุมความเสี่ยงที่ทำลายความมั่งคั่งของรายย่อยไปมากที่สุดในปีนี้
ประการที่สองคือ “ความประมาทต่อปัจจัยมหภาค โดยเฉพาะค่าเงินเยน (Yen Carry Trade)” ในปี 2025 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การทำ Carry Trade หรือการกู้ยืมเงินเยนราคาถูกมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโตเกิดกระแสย้อนกลับ

ที่มาภาพ : cfi.trade
นักลงทุนสถาบันเริ่มเทขาย Bitcoin เพื่อนำเงินกลับไปคืนหนี้ในฝั่งญี่ปุ่น นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ที่มัวแต่จดจ้องที่กราฟเทคนิคัลเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ติดตามนโยบายการเงินโลก จึงถูกกระแสการเทขายจากสถาบันซัดเข้าอย่างจังโดยไม่ทันตั้งตัว
ความผิดพลาดประการต่อมาคือ “ความเชื่อมั่นที่ผิดที่ในสถานะของ Safe Haven” ตลอดปี 2025 เราได้เห็นทองคำและแร่เงินทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง

ที่มาภาพ : coinjournal
ขณะที่ Bitcoin กลับเคลื่อนไหวผันผวน และมีทิศทางเดียวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี Nasdaq มากกว่าทองคำ นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะไม่ตัดขาดทุน เพราะเชื่อว่า Bitcoin คือ “ทองคำดิจิทัล” ที่จะทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
แต่ความเป็นจริงในรอบปีนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อความเสี่ยงโลกพุ่งสูงขึ้น เงินลงทุนไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์ดั้งเดิมมากกว่าสินทรัพย์ดิจิทัล ส่งผลให้คนที่ถือครองโดยไม่มีแผนรับมือต้องติดดอยยาวนานกว่าที่คาด
ประการที่สี่คือ “การจมปลักกับ Altcoin ที่มีอัตราการปล่อยเหรียญสูง” ในช่วงต้นปี 2025 มีการเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่จำนวนมากที่ให้ผลตอบแทนจากการ Staking หรือ Airdrop ที่ดูเย้ายวน

ที่มาภาพ : coinjournal
แต่นักลงทุนหลายคนกลับมองข้ามโครงสร้าง Tokenomics ที่แท้จริง เมื่อเวลาผ่านไป การปลดล็อกเหรียญจำนวนมหาศาล (Token Unlocks) ของโปรเจกต์อย่าง LayerZero หรือโปรเจกต์น้องใหม่อื่นๆ ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อราคาเหรียญ Altcoin ในพอร์ต นักลงทุนที่หวังจะรวยลัดจากเหรียญขนาดเล็กจึงต้องเผชิญกับภาวะมูลค่าสินทรัพย์ลดลงกว่า 50-70% แม้ราคา Bitcoin จะปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ความผิดพลาดประการสุดท้ายที่ถือเป็น “หมัดฮุค” ซ้ำเติมความเสียหายให้กับนักลงทุนไทยคือ “การขาดวินัยในการบริหารสภาพคล่องและภาวะกระสุนหมด” ในช่วงที่ Bitcoin ทะยานเข้าใกล้ 90,000 ดอลลาร์ นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะ “All-in” หรือทุ่มเงินสดก้อนสุดท้ายเข้าไปด้วยความหวังว่า จะไปขายที่ 100,000 ดอลลาร์ตามกระแสข่าว

ที่มาภาพ : cryptodispensers
แต่เมื่อตลาดเกิดการปรับฐานลงมาที่ 80,000 ดอลลาร์ ซึ่งควรจะเป็นโอกาสทองในการ “ช้อนซื้อ” ของถูก นักลงทุนกลุ่มนี้กลับไม่มีสภาพคล่องเหลือเพียงพอ เพราะเงินทั้งหมดติดอยู่ที่ยอดดอยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การไม่แบ่งสัดส่วนการถือครอง Stablecoin หรือเงินสดไว้รับมือกับความผันผวน จึงกลายเป็นกับดัก ที่ทำให้นักลงทุนไทยเสียเปรียบอย่างมหาศาล เพราะนอกจากจะทำกำไรไม่ได้แล้ว ยังเกิดสภาวะ “Burnout” ทางจิตวิทยา จากการที่ต้องนั่งเฝ้าพอร์ตสีแดงโดยไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้เลย
การขาดแผนการสำรองกระแสเงินสด และการวางกลยุทธ์เข้าซื้อเป็นไม้ จึงเป็นบทเรียนสุดท้ายที่พิสูจน์ว่า ในตลาดหมี “เงินสดคือพระเจ้า (Cash is King)” และผู้ที่มีสภาพคล่องในมือเท่านั้น คือผู้ที่จะกุมความได้เปรียบ เมื่อตลาดกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
บทสรุปของปี 2025 จึงไม่ใช่แค่เรื่องของราคาที่ร่วงโรย แต่คือบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของผู้ที่ยังเหลือรอด การก้าวข้ามจากความหวัง 100,000 ดอลลาร์ สู่ความเป็นจริงที่ 80,000 ดอลลาร์ สอนให้เรารู้ว่า ในโลกคริปโต “ความรู้อยู่รอดมากกว่าความกล้า” และการมีแผนสำรองในยามวิกฤตคือ ความต่างระหว่างนักลงทุนมืออาชีพกับนักเก็งกำไรที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับตลาดหมีในครั้งนี้

