<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สหรัฐฯ สับขาหลอก! ประกาศคงภาษีชิปจีน 0% ยาวถึงปี 2027 หวังซื้อเวลาให้เอกชนหายใจ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

(25 ธ.ค. 2025) – กลายเป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่เซอร์ไพรส์วงการเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลก เมื่อผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้ออกประกาศสำคัญอย่างเป็นทางการว่า สหรัฐอเมริกาจะยังคงอัตราภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากจีนไว้ที่ระดับ 0% ต่อไปจนถึงปี 2027 ซึ่งถือเป็นการพลิกโผจากกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการประกาศขึ้นภาษีกีดกันทางการค้าชุดใหญ่เพื่อตอบโต้จีน ส่งผลให้บรรยากาศความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจผ่อนคลายลงชั่วคราว

การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการสอบสวนตามมาตรา 301 (Section 301) ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2024 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการอุดหนุนอุตสาหกรรมชิปของรัฐบาลจีน แม้ผลการสอบสวนจะชี้ชัดถึงความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรม แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับเลือกเดินหมากด้วยการ “ซื้อเวลา” โดยชะลอการบังคับใช้มาตรการภาษีออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบฉับพลันที่จะเกิดกับภาคการผลิตในประเทศ

เบื้องหลังการผ่อนปรนครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่าห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ ยังคงต้องพึ่งพา “Legacy Chips” หรือชิปรุ่นเก่าจากจีนอยู่อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า การขึ้นภาษีในทันทีอาจกลายเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง เพราะจะทำให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้นและซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อ ในขณะที่โรงงานผลิตชิปในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกฎหมาย CHIPS Act มูลค่ากว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น ยังต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะเดินเครื่องผลิตทดแทนได้เต็มกำลัง

นักวิเคราะห์มองว่า นี่ไม่ใช่การยอมแพ้ของสหรัฐฯ แต่เป็นการ “พักยก” (Strategic Pause) เพื่อเตรียมความพร้อม โดยช่วงเวลาปลอดภาษีจนถึงปี 2027 นี้ เปรียบเสมือนเส้นตายที่รัฐบาลมอบให้กับภาคเอกชนในการเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างซัพพลายเชนและย้ายฐานการผลิตออกจากจีนให้ทันท่วงที ก่อนที่กำแพงภาษีของจริงจะถูกก่อขึ้น ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลระหว่างนโยบายกีดกันทางการค้าและความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่ยังตัดขาดกันไม่ขาด

ท้ายที่สุด ความเคลื่อนไหวนี้ยังคงตอกย้ำภาพความขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่แม้หน้าฉากจะดูเหมือนมีการผ่อนปรน แต่ลึกๆ แล้วคือการแข่งกันสะสมแต้มต่อทางเทคโนโลยี โดยหลังจากพ้นกำหนดเส้นตายในปี 2027 โลกอาจได้เห็นสงครามการค้าในรูปแบบที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม เมื่อสหรัฐฯ มั่นใจแล้วว่าตนเองมีความแข็งแกร่งพอที่จะยืนด้วยลำแข้งของตนเองโดยไม่ต้องง้อโรงงานจากแดนมังกรอีกต่อไป

ที่มา: @GlobeEyeNews