<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เปิดประวัติ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram และ VK หนึ่งในแอปที่ชาวคริปโตต้องมีไว้ติดเครื่อง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในปัจจุบันแอปพลิเคชันจากแดนหมีขาวอย่าง Telegram และ VK กำลังเริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหมู่ผู้ใช้ทั่วไป และคอมมูนิตี้คริปโต เนื่องมาจากความสะดวก รวดเร็ว อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง ทำให้ Telegram และ VK กลายมาเป็นแอปแชทที่สามารถท้าชิงกับแอปดัง ๆ ได้อย่างง่ายดาย

แต่ทราบหรือไม่ว่าผู้ก่อตั้งทั้งสองแอปดังนั้นคือบุคคล คนเดียวกันซึ่งมีชื่อว่า Pavel Durov ซึ่งในบทความนี้เราจะไปดูกันว่ากว่าที่เขาจะได้รับฉายาว่า Mark Zuckerberg แห่งรัสเซียนั้นเขาผ่านอะไรมาบ้าง

ความเป็นมา

Pavel เกิดที่เมือง Leningrad (ปัจจุบันคือ St.Petersburg) ในปี 1984 หรือสมัยที่สหภาพโซเวียตยังคงอยู่ ทว่าในวัยเด็กของเขากลับได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเมือง Turin ประเทศอิตาลีเนื่องจากพ่อของเขาทำงานที่นั่น ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ย้ายกลับมา St.Petersburg ในปี 2001 และจบการศึกษาภาควิชาปรัชญาของมหาวิทยาลัยรัฐของเมืองด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในปี 2006 

จุดเริ่มต้น VK

วันหนึ่ง Pavel ได้ทราบเรื่องราวของการกำเนิดโซเซียลมีเดียชื่อดังอย่าง Facebook ทำให้เขาอยากจะทำมันบ้างจึงได้เริ่มต้นสร้างแพลตฟอร์ม VKontakte (VK) กับพี่ชายของเขา Nikolai ที่มีความเก่งกาจด้านคณิตศาสตร์เป็นอย่างมากถึงขนาดถูกรับเชิญไปออกรายการทีวีในสมัยที่พวกเขาอยู่อิตาลี 

เมื่อแพลตฟอร์มได้ถูกเปิดตัว มันก็ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีผู้ใช้งานกว่า 100,000 รายเข้าไปแล้วในช่วงต้นปี 2007 และทะลุหลักล้านคนในเดือนกรกฏาคม และหลักร้อยล้านคนในปัจจุบัน

การแทรกแซง

ในสมัยก่อนแอปแชทและโซเชียลมีเดียยังไม่ค่อยแพร่หลายทำให้รัฐบาลรัสเซียไม่ได้เข้ามาตรวจสอบมากมาย แต่ด้วยความนิยมของ VK ทำให้รัฐบาลเริ่มเข้ามาจับจ้องและพยายามปิดกั้นเนื้อหาหรือบิดเบือนข้อมูลประชาชนรัสเซีย ซึ่งชนวนเหตุดังกล่าวได้ปะทุขึ้นจากการที่มีผู้ใช้ไม่พอใจความต้องการขอปูตินที่อยากจะดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำในระยะยาว และได้ออกมาเรียกร้องบน VK ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งเฉยและตอบโต้ผู้ประท้วงเหล่านั้น รวมถึงได้ส่งจดหมายให้ Pavel ทำตามข้อเรียกร้องเพื่อสกัดกั้นข่าวสาร

ทว่า Pavel กลับไม่สนใจเป็นผลให้ทีมหน่วย SWAT ครบชุดบุกเข้าที่พักของเขา ซึ่งต่อมารัฐบาลก็พยายามโจมตีหาเรื่องเขามาโดยตลอดเช่น กล่าวหาว่าเขาชนแล้วหนีทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีรถ หรือใบขับขี่ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น Pavel ก็ยังอดทนอยู่ต่อไปจนกระทั่งรัฐบาลตัดสินใจใช้ไม้แข็งจับกุมคุมขังรีดข้อมูล Pavel และให้พันธมิตรทุ่มเงินซื้อหุ้นของ VK ทำให้เขาไม่ได้เป็น CEO อีกต่อไปและต้องจำใจขายหุ้นทั้งหมดมูลค่ากว่า $300 ล้าน (VK มีมูลค่าเกิน $1,000 ล้านไปแล้วในความเป็นจริง) บีบให้เขาต้องหนีออกนอกประเทศอย่างจำใจในปี 2014 และกลายเป็นพลเมืองของสหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิส (Saint Kitts and Nevis) ประเทศในหมู่เกาะลีเวิร์ด ทะเลแคริบเบียน ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในซีกโลกตะวันตก ทว่าเขากลับใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในดูไบเป็นส่วนมาก และไม่ได้มีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ไว้ ทำให้เขาเป็นพลเมืองโลกที่ใช้ชีวิตตามประเทศต่าง ๆ 

ถือกำเนิดใหม่

แม้ว่าเขาจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างจากบ้านเกิดของเขามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขายังคงเก็บไว้ในจิตใจคืออุดมการณ์ที่จะต่อต้านการควบคุมข่าวสารของรัฐบาล นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาได้เริ่มโปรเจกต์ใหม่อีกตัวที่ชื่อว่า “Telegram” ซึ่งจะเป็นแอปโซเชียลมีเดียที่ปลอดภัยและไม่ถูกตรวจสอบโดยรัฐบาล ด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัสของ Nikolai ผู้เป็นพี่ชาย และโดยเริ่มต้นโปรเจกต์ที่เมือง Berlin เยอรมนี ซึ่งมันก็ได้เสียงตอบรับดีมากและในปัจจุบันก็ได้มีผู้ใช้งานเข้าหลักร้อยล้านคนแล้วเช่นกัน ทำให้เขากลายมาเป็นอภิมหาเศรษฐีจวบจนปัจจุบัน

อีกด้านของ Pavel

นอกเหนือจากเส้นทางชีวิตสุดผาดโผนแล้วนั้นอีกด้านหนึ่งของ Pavel ก็มีเรื่องให้พูดถึงอีกหลากหลายเรื่องเช่น การที่เขาเป็นพ่อให้กับเด็กกว่าร้อยชีวิตจากการที่เพื่อนของเขาขอร้องให้เขาช่วยไปบริจาคอสุจิเนื่องจากมีบุตรยาก หรือจะเป็นการที่ตัวของเขานั้นเป็นคนหัวร้อน ถึงขนาดเคยชูนิ้วกลางออกสื่อ และการที่เขาเป็นเซียนควบคุมอาหาร งดอบายมุข งดทานเนื้อแดง จนถึงขนาดอดข้าวอดน้ำเป็นบางวัน ซึ่งเขากลับบอกว่ามันทำให้สมองเขาแล่นกว่าเดิม

Crypto กับ Telegram

ทั้งนี้ตัวของ Pavel เชื่อมั่นและสนับสนุนในคริปโตเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าเขาเองก็ได้มีการซื้อ Bitcoin เก็บไว้จำนวนหนึ่ง และร่วมมือกับพี่ชายของเขาในการเปิดตัว ICO Toncoin ซึ่งเป็นคริปโตที่รันด้วยบล็อกเชนของ Telegram เอง ซึ่งในปัจจุบันโปรเจกต์ดังกล่าวก็มาแรงเป็นอย่างมากในตลาดคริปโต และได้ให้กำเนิดเหรียญคริปโตชื่อดังมาแล้วอย่าง Notcoin