<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เปิดสุสาน DEX ‘อดีตเคยปัง ปัจจุบันแตกไปแล้ว’ เช็กสัญญาณ DEX ที่คุณใช้อยู่กำลังจะเจ๊งหรือไม่?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในโลกที่หมุนเร็วของ Decentralized Finance ( DeFi) การเกิดขึ้นและดับไปของแพล-ตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ (DEX) นั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา จากที่เคยเป็น “ดาวรุ่งพุ่งแรง” ที่ถูกยกย่องให้เป็นอนาคตของการเงิน วันหนึ่งก็อาจกลายเป็นเพียง “สุสาน” ที่ถูกลืมเลือนไปพร้อมกับเงินทุนของนักลงทุนที่ถอนออกไม่ทัน เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ แต่คือ “บทเรียน” ราคาแพงที่เต็มไปด้วยสัญญาณเตือนภัยซึ่งนักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้

SushiSwap จาก ‘แวมไพร์ผู้ยิ่งใหญ่’ สู่ ‘วิกฤตศรัทธา’

ไม่มีเรื่องราวใดที่จะสะท้อนวัฏจักร “รุ่งเรือง-ร่วงโรย” ได้ดีเท่ากับ SushiSwap ในปี 2020 SushiSwap ได้สร้างปรากฏการณ์ “Vampire Attack” ที่สะเทือนวงการ ด้วยการดูดสภาพคล่อง (Liquidity) และผู้ใช้งานไปจาก Uniswap ซึ่งเป็นเจ้าตลาดในขณะนั้นได้สำเร็จอย่างงดงาม แต่ความรุ่งโรจน์นั้นกลับอยู่ได้ไม่นาน

จุดแตกหักครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อ “Chef Nomi” ผู้ก่อตั้งนิรนาม ได้เทขายเหรียญ SUSHI ของตนเองในคลังกองกลางออกมาเป็นมูลค่าสูงถึง 14 ล้านดอลลาร์ การกระทำที่ถูกมองว่าเป็นการ “Rug Pull” หรือการหักหลังชุมชนในครั้งนั้น ได้ทำลาย “ความไว้วางใจ” ซึ่งเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของโลก DeFi ลงอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าในเวลาต่อมา Chef Nomi จะโอนอำนาจการควบคุมไปให้ Sam Bankman-Fried จาก FTX และคืนเงินทั้งหมด แต่บาดแผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เคยจางหายไป ประกอบกับปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ SushiSwap ค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันและไม่สามารถกลับไปสู่จุดสูงสุดเดิมได้อีกเลย

dYdX ราชา ‘Perpetual’ ที่ถูกโค่นบัลลังก์

dYdX เคยเป็นราชาผู้ครองบัลลังก์ตลาด Perpetual Futures (สัญญาฟิวเจอร์สแบบไม่หมดอายุ) บน DEX อย่างไร้คู่แข่ง แต่การแข่งขันที่ดุเดือดในโลก DeFi หมายความว่าบัลลังก์นั้นไม่ได้มั่นคงตลอดไป การเกิดขึ้นของคู่แข่งที่คล่องตัวกว่าและมีแรงจูงใจที่ดีกว่าอย่าง Hyperliquid ได้เข้ามาท้าทายและค่อยๆ กัดกินส่วนแบ่งการตลาดไปอย่างต่อเนื่อง

การตัดสินใจครั้งสำคัญของ dYdX ในการย้ายออกจากระบบนิเวศของ Ethereum ไปสร้าง “เชนของตนเอง” บน Cosmos แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในทางเทคนิค แต่ก็ได้สร้าง “แรงเสียดทาน” ให้กับผู้ใช้งานที่ต้องทำการ “Bridge” หรือย้ายสินทรัพย์ข้ามเชน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับรายย่อย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ได้ทำให้ dYdX ต้องสูญเสียสถานะผู้นำในตลาดที่ตนเองเคยบุกเบิกไปในที่สุด

EtherDelta ผู้บุกเบิกยุคแรกที่จบลงด้วยกฎหมายและกลโกง

ก่อนที่โลกจะรู้จัก Uniswap, EtherDelta คือหนึ่งใน DEX ยุคแรกสุดที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2016 และเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนยุคบุกเบิกได้ซื้อขายโทเคน ERC-20 ที่เพิ่งเกิดใหม่ แต่ความรุ่งโรจน์นั้นก็อยู่ได้ไม่นาน จุดจบของ EtherDelta มาจากสองสาเหตุหลัก คือ การบังคับใช้กฎหมาย โดยสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) ได้เข้ามาดำเนินการกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ส่งสัญญาณเตือนไปทั่วทั้งวงการ และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ หลังจากที่มีการเปลี่ยนกลุ่มเจ้าของใหม่ ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “Exit Scam” หรือการเชิดเงินหนีไปพร้อมกับเงินทุนจากการระดมทุน ICO

Bancor ผู้คิดค้น AMM ที่พ่ายแพ้ต่อตลาดหมี

Bancor คือหนึ่งในผู้บุกเบิกที่สำคัญที่สุดของโลก DeFi และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้คิดค้นกลไก Automated Market Maker (AMM) ที่เป็นรากฐานของ DEX ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นที่สุดของ Bancor คือฟีเจอร์ “การป้องกันความสูญเสียที่ไม่ถาวร” (Impermanent Loss Protection) ซึ่งเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดสภาพคล่องเข้ามาสู่แพลตฟอร์ม แต่ในวิกฤตตลาดหมีปี 2022 ฟีเจอร์ที่เคยเป็นจุดแข็งนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรง เมื่อสภาวะตลาดที่ “เป็นปฏิปักษ์” ได้บีบให้ Bancor ต้อง ประกาศระงับฟีเจอร์ดังกล่าว การตัดสินใจครั้งนั้นได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนลงอย่างสิ้นเชิง และทำให้ Bancor ค่อยๆ เลือนหายไปจากสมรภูมิ DEX ที่ดุเดือด

Serum DEX ดาวรุ่งที่ล่มสลายไปพร้อมกับ FTX

Serum คือตัวอย่างที่เจ็บปวดที่สุดของความเสี่ยงจากการ “รวมศูนย์” ในโลกที่ควรจะกระจายอำนาจ Serum ซึ่งเป็น DEX ที่สร้างขึ้นบน Solana เคยถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นผู้เปลี่ยนเกม ด้วยความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งบน Ethereum แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ Serum ได้รับการสนับสนุนและมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ FTX และ Alameda Research และที่เลวร้ายที่สุดคือ “กุญแจสำหรับอัปเกรด” (Upgrade Authority) ของ Smart Contract ทั้งหมดถูกเก็บไว้โดย FTX

ดังนั้น เมื่ออาณาจักร FTX ล่มสลายลงในปี 2022 มันก็ได้นำพา Serum ไปสู่จุดจบด้วยเช่นกัน ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดขึ้นทำให้ชุมชนไม่สามารถไว้วางใจในโค้ดเดิมได้อีกต่อไป และบีบให้นักพัฒนาต้องทำการ “Fork” หรือคัดลอกโค้ดไปสร้างโปรเจกต์ใหม่ในชื่อ OpenBook ทิ้งให้ Serum กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ “ไร้การใช้งาน” (defunct) ไปในที่สุด

5 สัญญาณอันตราย! DEX ที่คุณใช้อยู่กำลังจะเจ๊งหรือไม่?

เรื่องราวของ DEX ที่ล้มเหลวเหล่านี้ ได้มอบบทเรียนและ “สัญญาณเตือนภัย” ที่ชัดเจนซึ่งผู้ใช้งานทุกคนสามารถนำไปใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงของ DEX ที่ตนเองใช้งานอยู่ได้

  1. มูลค่าที่ถูกล็อก (TVL) ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า “เงินกำลังไหลออก” หาก TVL ของแพลตฟอร์มลดลงอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง สวนทางกับภาพรวมของตลาด นั่นหมายความว่านักลงทุนกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นและถอนสภาพคล่องออกไป
  2. ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) ลดลง ตัวเลขนี้สะท้อนถึง “การใช้งานจริง” หากปริมาณการซื้อขายลดลงอย่างต่อเนื่อง แสดงว่ามีคนใช้งานแพลตฟอร์มน้อยลง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อรายได้จากค่าธรรมเนียมและความยั่งยืนของโปรโตคอล
  3. ดราม่าภายในและปัญหาของผู้ก่อตั้ง การทะเลาะกันของผู้บริหารที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะ, การที่ผู้ก่อตั้งนิรนามเทขายเหรียญจำนวนมาก หรือการขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ล้วนเป็นสัญญาณอันตรายที่ร้ายแรงที่สุด ดังที่เคยเกิดขึ้นกับ SushiSwap มาแล้ว
  4. นวัตกรรมหยุดนิ่ง โลก DeFi หมุนเร็วมาก หาก DEX ที่คุณใช้อยู่ไม่มีการอัปเกรตฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือไม่สามารถปรับตัวให้ทันคู่แข่งได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและค่อยๆ ตายไปในที่สุด
  5. ราคาเหรียญประจำแพลตฟอร์มร่วงหนัก แม้ราคาเหรียญจะผันผวนตามตลาด แต่หากราคาเหรียญ Governance Token ของ DEX นั้นๆ ร่วงลงอย่างหนักและต่อเนื่อง สวนทางกับเหรียญของคู่แข่งและภาพรวมตลาด นั่นคือสัญญาณที่ชัดเจนว่าชุมชนกำลัง “เทขาย” และสูญเสียศรัทธาในอนาคตของแพลตฟอร์มแล้ว

เรื่องราวของ “สุสาน DEX” เหล่านี้จึงเป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนที่สำคัญว่าในโลกของ DeFi ที่หมุนเร็วและไร้ซึ่งตัวกลางอย่างแท้จริงนั้น ไม่มีบัลลังก์ใดที่มั่นคงถาวร ความล่มสลายของพวกเขาไม่ได้มาจากแค่ข้อบกพร่องทางเทคนิคหรือการถูกแฮกเสมอไป แต่บ่อยครั้งมันเกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ “มนุษย์”

ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งภายใน, การตัดสินใจทางกลยุทธ์ที่ผิดพลาด, หรือการสูญเสีย “ความไว้วางใจ” ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ยากที่สุดและพังทลายลงได้ง่ายที่สุด ดังนั้น สำหรับผู้ใช้งานแล้ว การเฝ้าจับตาสัญญาณเตือนภัยต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการวิเคราะห์ แต่คือ “สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด” ในสมรภูมิที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ตายตัวนี้ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่จะอยู่รอดไม่ใช่แค่ผู้ที่สร้างนวัตกรรมได้ดีที่สุด แต่คือผู้ที่สามารถรักษา “ความไว้วางใจ” ของผู้ใช้งานไว้ได้จนถึงวันสุดท้าย