<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทรัมป์ ‘ยึดเฟด’ สำเร็จ! ส่ง ‘คนสนิท’ นั่งบอร์ดธนาคารกลาง จ่อตั้งประธานคนใหม่

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เดินเกมรุกคืบเข้าควบคุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ครั้งสำคัญ ด้วยการประกาศเสนอชื่อนาย Stephen Miran ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของเขาเอง เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการผู้ว่าการของเฟดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่นาง Adriana Kugler หนึ่งในผู้ว่าการได้ประกาศลาออกอย่างกะทันหัน และถูกมองว่าเป็นความพยายามของทรัมป์ที่จะแทรกแซงนโยบายการเงินและปูทางไปสู่การแต่งตั้งประธานเฟดคนใหม่ที่อยู่ในโอวาทของตน

“ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งของผมที่จะประกาศว่า ผมได้เลือก ดร. Stephen Miran… ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในที่นั่งที่เพิ่งจะว่างลงบนบอร์ดของธนาคารกลางสหรัฐฯ” ทรัมป์ประกาศผ่าน Truth Social “ความเชี่ยวชาญของเขาในโลกแห่งเศรษฐศาสตร์นั้นหาที่เปรียบไม่ได้ เขาจะทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม”

การแต่งตั้งนาย Miran ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ “สถาปนิกหลัก” ผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ จะเป็นการเพิ่มเสียงที่ “สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ย” เข้าไปในคณะกรรมการอีกหนึ่งเสียง โดยจะเข้าไปสมทบกับนาย Chris Waller และนาง Michelle Bowman ซึ่งเป็นผู้ว่าการสองรายที่ทรัมป์เคยแต่งตั้งและเพิ่งจะโหวตสวนมติของเฟดในการคงอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

แม้ว่าวาระของ Miran จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2026 แต่นักลงทุนต่างจับตามองการแต่งตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมันเป็นเหมือนการส่งสัญญาณถึงทิศทางในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์กำลังจะเลือกประธานเฟดคนต่อไปที่จะเข้ามาแทนนายเจอโรม พาวเวล ซึ่งวาระจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2026

ตัวเต็งที่อยู่ในรายชื่อขณะนี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีแนวคิดสอดคล้องกับทรัมป์ทั้งสิ้น ทั้งนาย Kevin Warsh อดีตผู้ว่าการเฟดที่ออกมาวิจารณ์อย่างหนักว่าเฟด “หลงทาง” และต้องการ “การปฏิรูป” และนาย Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจคนปัจจุบันของทรัมป์ ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ไม่มีเหตุผลใดที่เฟดจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้” การส่ง “คนของตัวเอง” เข้าไปนั่งในตำแหน่งสำคัญครั้งนี้ จึงเป็นการตอกย้ำถึงความตั้งใจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะเข้ามาควบคุมทิศทางนโยบายการเงินของประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ที่มา: yahoo finance