<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สัญญาณบิ้กแมตซ์ ? ท๊อป จิรายุส เตรียมเปิดสังเวียน Bitkub Summit 2025 ศึก CK Cheong ปะทะ CSI LA

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

จากประเด็นดราม่าที่ปะทุขึ้นกลางโซเชียลในชั่วข้ามคืน ระหว่าง CK Cheong (ซีเค เจิง) ซีอีโอแห่ง Fastwork กับเพจสายสืบชื่อดัง CSI LA ที่ต่างฝ่ายต่างงัดไม้เด็ดใส่กันไม่ยั้ง กลายเป็นไฟที่ลุกลามไปทั่วทั้งวงการการเงินและการลงทุน จนผู้คนตั้งแต่สายคริปโต นักลงทุน ไปจนถึงคนทั่วไป ต่างพากันซูมอินจับตาว่า ศึกครั้งนี้จะจบลงแบบไหน และใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบในเกมแห่งการเปิดโปงบนโลกออนไลน์

ล่าสุดความร้อนแรงนี้ อาจไม่ได้หยุดอยู่แค่บนโลกโซเชียล แต่ลุกลามไปถึงเวทีใหญ่ของโลกคริปโตไทยด้วย เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน (29 สิงหาคม) เพจคุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแห่ง Bitkub Capital Group Holdings ได้ออกมาโพสต์ข้อความสะดุดตาบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เนื้อหาที่สั้นแต่เฉียบคมชวนให้คนทั้งวงการหันมาจับตามอง ว่าเขาอาจเตรียมเปิดสังเวียน “ดราม่าภาคต่อ” ให้เดือดหนักกว่าเดิม

“หรือต้องจัดเวทีเคลียร์ใจ CK Cheong, CPA & CSI LA ที่งาน Bitkub Summit ดีครับ?”

ที่มา : facebook


เรียกได้ว่าเป็นการโยนคำถามพร้อมแย้มไอเดียให้แฟน ๆ ได้ลุ้นกันว่า งานใหญ่ด้านบล็อกเชนและคริปโตที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่าง Bitkub Summit 2025: ประตูสู่โลกการลงทุนและชีวิตที่ยืนยาวแห่งอนาคต อาจไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีและนวัตกรรมสุดล้ำ แต่ยังอาจกลายเป็น “สนามเคลียร์ใจ” ของดราม่าแห่งปีด้วย

งานนี้ท๊อป จิรายุส ยังได้เชิญชวนทุกคนให้รีบลงทะเบียนที่ bitkubsummit.com พร้อมทิ้งท้ายว่า “แล้วเจอกันที่งานนะครับทุกคน”

รู้จัก CK Cheong

หากพูดถึงชื่อ CK Cheong (ซีเค เจิง) ในตอนนี้ คงไม่มีใครในวงการธุรกิจดิจิทัลและการลงทุนที่ไม่รู้จัก เขาคือซีอีโอของ Fastwork แพลตฟอร์มที่เป็นเสมือน “ตลาดกลาง” สำหรับงานฟรีแลนซ์ในประเทศไทย ที่รวมตั้งแต่งานด้านดีไซน์ โปรแกรมมิ่ง แปลภาษา ไปจนถึงงานที่คาดไม่ถึงอย่างการจ้างเพื่อนไปเที่ยวหรือคุยปรับทุกข์ จุดแข็งของ Fastwork ไม่ได้อยู่แค่ในตัวระบบ แต่เกิดจากการที่ CK เลือกใช้ Personal Branding ของตัวเองมาเป็นหัวใจหลักในการดึงดูดผู้ใช้งาน ควบคู่กับการปล่อยคอนเทนต์ต่อเนื่องบนโซเชียลมีเดียที่ทั้งให้ความรู้เรื่องธุรกิจ การเงิน และสร้างแรงบันดาลใจ จนหลายคลิปกลายเป็นไวรัล แต่ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งกระแสโต้เถียงและดราม่าที่ตามมาเป็นเงาตามตัว

เบื้องหลังชีวประวัติของ CK ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เขาเป็นลูกครึ่งไทย–จีน เกิดที่มาเก๊า ก่อนจะมาใช้ชีวิตวัยเด็กในประเทศไทย กระทั่งอายุ 13 ปีจึงเดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบ เขาเริ่มต้นอาชีพในสายการเงินที่นิวยอร์กในตำแหน่งแบงเกอร์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นประสบการณ์ด้านการลงทุนและธุรกิจ ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาจะหันกลับมาเป็นผู้ประกอบการเต็มตัวในไทยด้วยการสร้าง Fastwork

CSI LA คือใคร?

ในอีกฟากหนึ่งของโลกออนไลน์ CSI LA เป็นเพจเฟซบุ๊กที่ได้รับการยอมรับมานานในฐานะเพจสายสืบสวน เปิดโปงประเด็นร้อนที่สังคมจับตามอง โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตและความไม่โปร่งใสต่าง ๆ เพจนี้เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางครั้งแรกจากการติดตามกรณีการเสียชีวิตปริศนาของนักท่องเที่ยวบนเกาะเต่า ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 1.5 ล้านคน และยังคงรักษาความนิยมด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่เข้มข้นและมักชี้นำประเด็นใหม่ ๆ เข้าสู่สังคม

ผู้ก่อตั้งและแอดมินของเพจคือ เดวิด (ประมุข) อนันตศิลป์ ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเพจ เขาเรียนจบจาก UCLA และจบปริญญาโทที่ Northwestern University ก่อนทำงานในบริษัท Fortune 10 ของอเมริกา แม้จะอยู่ไกลจากประเทศไทย แต่เขายังคงใช้เพจเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามต่อประเด็นในบ้านเกิดอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา CSI LA ยังเปิดให้ผู้ติดตามสนับสนุนทางการเงิน ทั้งผ่านระบบ Subscription ของเฟซบุ๊กและ QR PromptPay ที่แปะอยู่เกือบทุกโพสต์

จุดเริ่มต้นของประเด็นดราม่า

เรื่องราวปะทุขึ้นเมื่ออยู่ ๆ CSI LA โพสต์ตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของชีวประวัติ CK ว่าข้อมูลที่เจ้าตัวเคยเล่ากับสื่อตรงกับความจริงหรือไม่ โดยมีข้อความชัดเจนที่เหมือนเป็นการท้าทายว่า

“มีใครพอจะรู้ชื่อเต็มของ CK Cheong ตอนอยู่อเมริกาไหมครับ? ถ้าใครมีแหล่งข้อมูลสาธารณะ รบกวนแชร์มาให้หน่อย จะได้ช่วยกันสืบ ไม่อยากให้สื่อไทยซ้ำรอย ‘หลวงพ่ออลงกต 2’”

หลังจากนั้นก็มีหลายโพสต์ที่ต่อยอด ตั้งคำถามถึงความถูกต้องของข้อมูลส่วนตัวที่ CK เคยเปิดเผย พร้อมทั้งวิจารณ์เนื้อหาด้านการลงทุนที่เขาเผยแพร่ว่าอาจเป็นการนำเสนอที่ผิดพลาดและชี้นำผู้คน


เกมโต้กลับ 33 บาท

CK ที่เห็นโพสต์ก็ไม่ได้นิ่งเฉย ตอบโต้แบบสร้างสรรค์ด้วยการโอนเงินสนับสนุน 33 บาทเข้า QR Code ที่ CSI LA แปะไว้ พร้อมแคปสลิปโชว์ในโซเชียลด้วยข้อความ “ผมบริจาคแล้วครับ 33 บาท❤️ สู้ๆนะครับอย่ายอมแพ้🙏” ท่าทางแซวชัดเจนแต่ดูสุภาพสำรวม

แต่แล้วชาวเน็ตที่มีตาดีสังเกตเห็นว่าชื่อเจ้าของบัญชีในสลิปไม่ใช่คุณเดวิด หรือคุณประมุข แถมไปเสิร์ชเจอว่าเป็นผู้พิการที่รับเบี้ยผู้พิการอีกด้วย เรื่องที่ตั้งใจจะแซว CSI LA กลับเปลี่ยนเป็นโจทย์ให้ CSI LA แทน

คำถามโผล่มาทันที ทำไมสื่อที่อ้างความโปร่งใสไม่ใช้บัญชีบริษัท ใช้บัญชีคนอื่นมารับเงินบริจาคได้ยังไง บางคนถึงกับสงสัยว่าเป็น “บัญชีม้า” รึเปล่า

CSI LA รีบออกมาชี้แจงทันทีว่าบัญชีนั้นสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของผู้บริจาคเท่านั้น ไม่ผิดปกติ และจะเปลี่ยนเป็นชื่อบริษัทเมื่อแอดมินกลับไทย พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่บัญชีม้าเพราะไม่ได้เอาเงินไปทำธุรกิจผิดกฎหมาย

CK พลิกดราม่าเป็นแคมเปญ

แทนที่จะหยุดอยู่แค่การโต้กลับ CK กลับพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาสทางการตลาด เขาเปิดตัวแคมเปญใน Fastwork โดยใช้รหัสส่วนลด CSI33 มอบส่วนลด 333 บาท ภายใน 3 วัน พร้อมโพสต์ข้อความเปรียบเทียบเชิงเสียดสีว่า

“คนนึงเอาเวลาไปสร้างแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนประเทศได้ อีกคนนึงเอาเวลาไปสืบเรื่องคนอื่นเพื่อสร้าง Engagement ให้ตัวเอง”

และแม้จะบอกว่า “โอเค โพสต์สุดท้ายแล้ว” แต่เขายังเชื่อมต่อแคมเปญกับการเฉลิมฉลองยอดผู้ติดตามครบ 1 ล้าน พร้อมเขียนอย่างแสบ ๆ คัน ๆ ว่า

“จ่าย 33 บาท ได้ 1 ล้าน followers เลย”


โลกใหม่ของการทำสื่อ

ดราม่าครั้งนี้สะท้อนภาพการปะทะกันระหว่างสื่อยุคเก่าที่เน้นการขุดคุ้ยเปิดโปง กับอินฟลูเอนเซอร์ยุคใหม่ที่ใช้บุคลิกและการตลาดเป็นอาวุธ ทั้งสองฝั่งต่างก็มีจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง

จะจบลงอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งที่เห็นชัดคือ ในโลกโซเชียลทุกวันนี้ การโจมตีอาจกลายเป็นโอกาสทางการตลาด และการป้องกันที่ดีที่สุดคือการโปร่งใสจริงๆ ไม่ใช่แค่อ้างว่าโปร่งใส