ก.ล.ต. เดินหน้าสกัดกั้นขบวนการแก๊งมิจฉาชีพที่ใช้บัญชีม้า แปลงเงินบาทเป็นคริปโตฯ เพื่อฟอกเงินและโอนออกนอกประเทศอย่างรวดเร็ว พร้อมระบุปี 2568 อายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องได้แล้วกว่า 31,216 บัญชี มูลค่า 229 ล้านบาท พร้อมเตรียมออกมาตรการควบคุมที่รัดกุมยิ่งขึ้น พร้อมดันโครงการ “Tourist Digi Pay” ให้สิทธิ์นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถใช้คริปโตฯ แลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในไทยได้ คาดจะเริ่มให้บริการ พ.ย. นี้
18 กันยายน 2568 นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตำรวจไซเบอร์ คุมเข้มการดูแลแก๊งมิจฉาชีพ แก๊งหลอกลวงไซเบอร์ ในการเปิดบัญชีม้ากับธนาคาร จากนั้นรีบนำเงินบาทมาแปลง ด้วยการซื้อคริบโตเคอร์เรนซี นับว่าเป็นการดำเนินการอย่างรวดเร็วมาก เพื่อนำเงินออกไปต่างประเทศ หลายหน่วยงานจึงต้องร่วมมือกับแชร์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว
สำนักงาน ก.ล.ต. จึงขอให้ศูนย์ซื้อขายคริบโตฯ ดูแลบัญชีเป้าหมาย ตามที่ตำรวจไซเบอร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งมาให้ ที่ผ่านมาได้อายัดธุรกรรม การใช้คริบโต ของกลุ่มบัญชีม้าสีเทา สีดำ ในปี 2568 ได้ 31,216 บัญชี มูลค่าคริบโต 229 ล้านบาท โดยเป็นการอายัดทั้งบัญชีคริบโตฯ
ดังนั้นหากจะช่วยกันควบคุมได้ทันการณ์ไม่ให้เกิดการแปลงคริบโตจากเงินบาท ของบัญชีดำ บัญชีเทา ต้องประสานงานส่งข้อมูลร่วมกันอย่างรวดเร็ว
สำหรับ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ในปี 2568 (1 ม.ค.- 15 ก.ย.68) ได้รับการแจ้งหลอกลวงลงทุน 6,354 ครั้ง ผ่านสายด่วน 1207 กด 22 การเดินทางมายังสำนักงาน ก.ล.ต. และทางไปรษณีย์ ได้ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม และหน่วยงานรัฐปิดกั้น 3,036 บัญชี โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มทำการปิดกั้นภายในเวลา 7 นาที – 48 ชั่วโมง ส่วนกรณีมีกระแสข่าวศูนย์ซื้อขายคริบโตฯ ศูนย์ซื้อขาย Bitkub ถูกแฮก
เบื้องต้นเมื่อ ก.ล.ต. เข้าทำการตรวจสอบ ลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบ และกำชับให้เอกชนต้องดูแลทำให้ลูกค้ามั่นใจ ขณะนี้กำลังตรวจสอบเพิ่มเติม การรายงานด้านต่าง ๆ ให้สำนักงาน ก.ล.ต. ถูกต้องตามเกณ์หรือไม่ เพราะหากไม่รายงานอย่างถูกต้อง อาจมีความผิด จึงยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด
นายเอนก กล่าวว่า สำหรับโครงการ Tourist Digi Pay ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงาน ปปง. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เปลี่ยนมาเป็นเงินบาท เพื่อใช้ซื้อค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศ สะดวกและปลอดภัย
โดยมีร้านค้าขนาดใหญ่ ซี่งได้ลงทะเบียนยืนยันตัวตน กำหนดให้รับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 แสนบาท/เดือน ส่วนร้านค้าขนาดเล็กทั่วไป รับเงินจากการซื้อสินค้า 50,000 บาท/เดือน
โครงการ TouristDigiPay เป็นโครงการนำร่อง (Sandbox) เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น คริปโตเคอร์เรนซี) แปลงเป็นเงินบาท และนำไปใช้จ่ายในประเทศไทยได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชัน e-Money
สำนักงาน ก.ล.ต. กำกับดูแล (ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัล) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ในส่วนของ e-Money) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศคาดว่า จะเริ่มให้บริการได้ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2568
เมื่อเป็นโครงการที่ดีส่งเสริมการท่องเที่ยวคาดว่า รัฐบาลใหม่จะสานต่อโครงการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ
ที่มา:moneyandbanking

