เคยเป็นแบบนี้กันหรือเปล่า ต้องคอยนั่งเฝ้าหน้าจอเพื่อดูว่า ตลาดจะขึ้นหรือลงในแต่ละวัน ถ้าคำตอบคือ “ใช่” แสดงว่า คุณอาจยังไม่ได้รู้จักกับ “All Weather Portfolio” ของ Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนระดับตำนานแห่ง Bridgewater Associates ที่ออกแบบวิธีจัดพอร์ตนี้มาเพื่อให้นักลงทุนทุกคนสามารถ “นอนหลับได้อย่างสบายใจ” แม้ในยามที่ตลาดจะผันผวนรุนแรง
Ray Dalio สร้างพอร์ตนี้ ขึ้นมาด้วยแนวคิดที่ว่า “เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสภาพเศรษฐกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไร” เขาจึงออกแบบพอร์ตที่พร้อมรับมือได้กับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจขาขึ้น ขาลง ภาวะเงินเฟ้อ หรือภาวะเงินฝืดก็ตาม
พอร์ตนี้จึงถูกเรียกว่า “All Weather” หรือพอร์ตที่ทนทานได้ทุกสภาวะตลาดนั่นเอง
จุดเด่นของพอร์ตนี้คือการ กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล ไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยเน้นไปยังสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวแตกต่างกัน เพื่อให้ในทุกช่วงเวลาของเศรษฐกิจจะมีสินทรัพย์อย่างน้อยหนึ่งตัวที่ทำผลงานได้ดี และช่วยพยุงผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวมไว้ได้
วิธีจัดพอร์ตแบบ All Weather ฉบับดั้งเดิม

- 30% หุ้นสหรัฐฯ (US Stocks): ทำหน้าที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตและเป็นขาขึ้น
- 40% พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (Long-term Treasury Bonds): มักจะให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดภาวะเงินฝืด
- 15% พันธบัตรระยะกลาง (Intermediate Bonds): ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและสร้างความมั่นคงให้พอร์ต
- 7.5% ทองคำ (Gold): เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและมักมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อหรือวิกฤตเศรษฐกิจ
- 7.5% สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): เช่น น้ำมัน ที่จะให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง
แนวคิดนี้ไม่ได้เน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่เป็นการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว พร้อมทั้งรักษาเงินต้นให้คงอยู่ได้อย่างมั่นคง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการส่งต่อความมั่งคั่งและไม่ต้องการความเครียดจากการเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลา
ทำไม Ray Dalio ถึงสร้างวิธีจัดพอร์ตรูปแบบนี้ขึ้นมา ?
หลายคนอาจสงสัยว่า ในเมื่อ Ray Dalio ทำกำไรได้มหาศาลจากการเลือกหุ้น แต่ทำไมเขาจึงสร้างพอร์ตที่เน้นความมั่นคงมากกว่า คำตอบคือ เขาออกแบบพอร์ตนี้เพื่อใช้เป็นพอร์ตสำหรับส่งต่อความมั่งคั่ง
เมื่อเขารับรู้ได้ว่า ตัวเขาเองไม่สามารถดูแลการลงทุนได้ตลอดไป จึงจำเป็นต้องมีพอร์ตที่สามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องอาศัยการคาดเดาตลาด หรือขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือแม้กระทั่งผู้นำประเทศ
พอร์ตนี้เหมาะกับใครและไม่เหมาะกับใคร?
พอร์ตลงทุนแบบ All Weather อาจไม่ได้เหมาะกับนักลงทุนทุกคน เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง โดยพอร์ตนี้จะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกลยุทธ์แบบ “ลงทุนแล้วปล่อยไว้” หรือ “Passive Investing” รวมถึง ผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้น และสร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อในระยะยาว
ในทางกลับกัน พอร์ตนี้ก็ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงสุดในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น หรือนักลงทุนที่ชอบความตื่นเต้นและต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น
สำหรับนักลงทุนทั่วๆ ไป ก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ได้ โดยการลงทุนผ่านกองทุน ETF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น
- กองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ของ Vanguard (VTI)
- กองทุนพันธบัตรรัฐบาลของ BlackRock (IEF)
- กองทุนทองคำของ State Street Global Advisors (GLD)
- กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ของ Invesco (DBC)
จากนั้นก็จัดสัดส่วนการลงทุนตามสูตรของ Ray Dalio และที่สำคัญ อย่าลืมปรับสมดุลพอร์ต (Rebalance) อย่างน้อยปีละครั้งเพื่อรักษาสัดส่วนเดิมไว้เสมอ
สรุป All Weather Portfolio คือแนวคิดที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความมั่งคั่งแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความมั่นคง มันไม่ใช่สูตรสำเร็จในการทำให้คุณรวยอย่างรวดเร็ว แต่มันคือ เครื่องมือที่จะช่วยให้คุณอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนที่ดีในทุกสภาพเศรษฐกิจได้อย่างมั่นใจ และที่สำคัญที่สุด มันจะช่วยให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจและนอนหลับได้เต็มอิ่มทุกคืน

