รัฐบาลอังกฤษกำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งใหญ่ หลังสามารถยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 61,000 BTC ที่เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ โดยต้นตอของเรื่องนี้มาจาก Zhimin Qian หญิงสาวชาวจีนที่ก่อเหตุระหว่างปี 2014–2017 และนำเงินที่โกงมาแปลงเป็น Bitcoin ทั้งหมด
Qian เพิ่งถูกจับกุมและรับสารภาพต่อศาล Southwark Crown Court ในข้อหาครอบครองและโอนย้ายทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดกฎหมาย ส่วนผู้ช่วยคนสนิทของเธอ Jian Wen (หรือชื่อจริง Seng Hok Ling) ก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดไปแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
ปัญหาตอนนี้คือ Bitcoin มูลค่ามหาศาลนี้จะตกเป็นของใครกันแน่? เพราะอีกฝั่งหนึ่งก็มีเหยื่อมากกว่า 120,000 รายในจีน ที่กำลังเรียกร้องสิทธิ์ในการได้รับเงินชดเชยคืน ขณะนี้สำนักงานอัยการสูงสุดอังกฤษ (Crown Prosecution Service) ได้เริ่มเดินหน้าฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อเรียกคืนทรัพย์สิน และการไต่สวนรอบถัดไปจะเกิดขึ้นในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมองว่า เหยื่อมีสิทธิ์ตามกฎหมายในการยื่นคำร้องเพื่อขอคืนทรัพย์สิน หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินลงทุนที่สูญหายเกี่ยวข้องกับ Bitcoin ที่ถูกยึด ศาลอาจใช้หลักการ “การแบ่งปันตามสัดส่วน” (a pari passu) เพื่อให้เหยื่อแต่ละคนได้รับการชดเชยตามจำนวนที่เสียไป
อย่างไรก็ดี เดิมทีมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ราว 640 ล้านปอนด์ แต่เมื่อราคาของ Bitcoin ในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้น เหยื่อจำนวนไม่น้อยก็หวังว่า ไม่เพียงจะได้เงินที่สูญไปกลับคืนมา แต่ยังอาจได้ “กำไร” จากการลงทุนที่เคยหายไปอีกด้วย
Ashley Fairbrother พาร์ทเนอร์จาก Edmonds Marshall McMahon อธิบายว่า เหยื่อการฉ้อโกงครั้งนี้สามารถยื่นคำร้องภายใต้มาตรา 281 ของพระราชบัญญัติรายได้จากการก่ออาชญากรรมปี 2002 ได้อย่างเต็มสิทธิ์ หมายความว่า หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดเกี่ยวพันกับเงินลงทุนของตนเอง พวกเขาก็มีโอกาสได้รับการชดเชยคืน
แต่ในอีกมุมหนึ่ง รัฐบาลอังกฤษก็เริ่มมอง Bitcoin มูลค่ามหาศาลก้อนนี้ในฐานะ “ทรัพย์สินของชาติ” ที่อาจถูกใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเงิน หากเลือกเก็บไว้ มันอาจกลายเป็นกองทุนสำรองที่มูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา แต่หากตัดสินใจขายออกทันที รัฐบาลก็สามารถนำเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปอุดช่องโหว่การคลังที่กำลังขาดดุลอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งตัวเลขอยู่ระหว่าง 34,000 ล้าน ถึง 67,000 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ทว่าความเสี่ยงก็มีเช่นกัน เพราะหลายฝ่ายกังวลว่าอาจซ้ำรอยความผิดพลาดในปี 1999 ที่รัฐบาลอังกฤษเคยถูกวิจารณ์อย่างหนัก หลังเทขายทองคำครั้งใหญ่ในช่วงที่ราคายังอยู่ในตลาดหมี จนพลาดโอกาสทำกำไรในภายหลัง และเหตุการณ์นั้นก็ยังถูกหยิบยกมาเป็นบทเรียนทางเศรษฐกิจจนถึงทุกวันนี้
เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การปิดคดีฉ้อโกงธรรมดา แต่เป็นโจทย์ใหญ่ที่สะท้อนคำถามสำคัญว่า “ใครคือเจ้าของที่แท้จริงของ Bitcoin ที่ถูกยึดมาได้?” และรัฐบาลควรบริหารจัดการทรัพย์สินดิจิทัลก้อนนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้ผิดพลาดเหมือนในอดีต ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ความยุติธรรมกับเหยื่อกว่าแสนรายในจีนเกิดขึ้นจริงด้วย
ที่มา : decrypt

