เมื่อไม่นานมานี้ แวดวงนักลงทุนไทยได้สะดุดตากับเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มวัยเพียง 23 ปี ที่ออกมาแชร์เส้นทางความสำเร็จของตัวเอง หลังสามารถทำกำไรจากการลงทุน จนพอร์ตถึงหลัก “ล้านบาท” ภายในเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
เจ้าของเรื่องราวคือผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ “โตโตโร่ น้อย” ซึ่งเล่าว่า ตัวเขานั้นเป็นวัยรุ่นอายุ 23 ที่เริ่มต้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ มาได้ราวปีครึ่ง และปัจจุบันสามารถปั้นพอร์ตจนทำกำไรเกิน 1 ล้านบาท เมื่อรวมกับอีกหนึ่งพอร์ต ตัวเลขทั้งหมดก็แตะถึง 2 ล้านบาท ถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากที่จะเห็นคนอายุน้อยสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้เร็วขนาดนี้

ทั้งนี้ เจ้าตัวก็ย้ำว่าตนเองไม่ได้ต่างอะไรจากคนทั่วไป เขายังคงเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีภาระทางบ้านเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต่างออกไปคือ เขาพยายามหารายได้เสริมเพื่อนำเงินมาลงทุนต่อเนื่อง เดือนละราว ๆ 15,000 – 30,000 บาท ซึ่งเมื่อมองจากผลลัพธ์ตอนนี้ จะเห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทำกำไรได้มากกว่า 3 เท่าของเงินต้นทุน ที่ลงไป
ที่น่าสนใจคือ แทนที่จะเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยกว่าอย่างการลงทุนในหุ้นดัชนีระดับโลกอย่าง S&P500 ซึ่งโดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนราว 7%-10% ต่อปี เขากลับมองว่า “มันไม่พอสำหรับการโบยบิน” จึงเลือกหันไปเสี่ยงกับการลงทุนในหุ้นแนว Hypergrowth และหุ้นต้นน้ำ พร้อมกับกลยุทธ์ All-in แบบสุดทาง ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ผลลัพธ์เติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้จะแลกมากับความเสี่ยงสูงก็ตาม

เทคนิคการเลือกหุ้นต้นน้ำ
สำหรับเทคนิคการเลือกหุ้น เจ้าตัวเล่าว่า เขาไม่ได้มองหาหุ้นที่มี “เรื่องราวสวยหรู” หรืออาศัยกระแสตลาดเป็นหลัก แต่จะใช้วิธีที่อิงกับการคำนวณและตัวเลขมากกว่า โดยโฟกัสไปที่หุ้นที่สามารถสร้าง การเติบโตแบบพลิกชีวิต (Disruptive Growth) ซึ่งมีโอกาสพุ่งแรงและสร้างผลตอบแทนก้าวกระโดด แทนที่จะเลือกลงทุนในหุ้น Secular Growth ที่แม้จะเติบโตยั่งยืน แต่เดินเกมช้าเกินไปสำหรับเป้าหมายที่เขาตั้งไว้

เจ้าตัวอธิบายต่อว่า วิธีเลือกหุ้นของเขาเริ่มจากการมองหาธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับราคาหุ้นอย่างแท้จริง โดยหุ้นที่เลือกต้อง “ราคาถูก” ในเชิงการประเมินมูลค่า และมี Margin of Safety สูงที่สุด กล่าวง่าย ๆ คือเขาจะลงทุนเฉพาะหุ้นที่เป็น Best of the Best เท่านั้น ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่เปล่าประโยชน์หรือหุ้นที่ไม่น่าดึงดูด
เขาเปรียบให้เห็นภาพว่า การลงทุนที่คุ้มค่าคือการ “เอาเงิน 1 บาทไปลุ้น 100 บาท” ไม่ใช่ “เอา 1 บาทไปลุ้นแค่ 2 บาท” หลังจากนั้นก็จะใช้การคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์เพื่อหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น แล้วตั้งราคาเป้าหมายด้วยตัวเอง ซึ่งแนวทางนี้เองที่ทำให้เขาสามารถเจอ “หุ้นดีราคาถูก” ในตลาด และสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าค่าเฉลี่ยได้จริง

นอกจากนี้เขายังเน้นย้ำด้วยว่า ตัวเขาเองไม่เคยใส่ใจกับความผันผวนของราคาตลาดระยะสั้น แต่โฟกัสเฉพาะกับ ปัจจัยพื้นฐาน ที่ได้วิเคราะห์และวางแผนเอาไว้แล้วเท่านั้น หุ้นที่คัดเข้าพอร์ตจะต้องมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนอย่างน้อยปีละ 50–100% และทุกอย่างมาจากการคำนวณทางตัวเลขที่ชัดเจน ไม่ใช่ความหวัง ไม่ใช่การเดาสุ่ม
เขาไม่เชื่อตามกูรู ไม่ตามนักลงทุนระดับโลก แต่เลือกจะวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่า “เงินเป็นของเรา เราต้องเข้าใจมันเอง” สำหรับเขา ความเสี่ยงที่แท้จริงของการลงทุนไม่ใช่ความผันผวนของราคา แต่คือการไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองถืออยู่ และไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำเลยต่างหาก
เทคนิคกันตาย
สำหรับการเลือกหุ้นที่ดี นอกเหนือจากความคาดหวังที่จะสามารถทำกำไรตอบแทนได้สูงแล้วยังจำเป็นที่จะต้องมีเบาะรองกันตายอีกด้วย โดยหนึ่งในหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในพอร์ตของเขาคือ IREN ซึ่งเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจการขุดบิทคอยน์ และ AI CSP ที่ต่อให้บริษัททำพลาดทำเงินไม่ได้เท่ากับที่คิดไว้เงินต้นก็ไม่เจ็บหนัก
เขาเล่าว่าโดยปกติแล้วหุ้นที่เล่นกันตาม Story หรือ Narrative มักจะคำนวณออกมาเป็นตัวเลขค่อนข้างยาก ไม่มีอะไรชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือหุ้นสไตล์นี้มักไม่มี “Margin of safety” ไม่มีเบาะรองกันพลาด
ดังนั้น ในการลงทุนอะไร อย่างแรกเลย เราต้องคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดไปเลย ต้องคาดการณ์ไปเลยว่าบริษัทที่เราลงทุนนั้นพลาด
อย่างไรก็ตามในการที่จะได้มาซึ่งหุ้นแต่ละตัว เขากล่าวว่าใช้น้ำพักน้ำแรงอย่างมหาศาลกินเวลาหลังเลิกงานเป็นร้อยเป็นพันชั่วโมง แต่ผลตอบแทนนั้นคุ้มค่ากับทุกหยาดเหงื่อที่เสียไป
ที่มา : Facebook

