ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เพิ่งประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่าสูงถึง 8,800 ล้านบาท จำนวน 47.39 ล้านหุ้น หรือ 2% ของหุ้นทั้งหมด ในช่วง 6 เดือน (14 พ.ย. 68 – 13 พ.ค. 69) กลยุทธ์นี้ฟังดูสวนทางกับการระดมทุนที่บริษัททั่วไปทำ แต่จริงๆ แล้วมันมีบางอย่างคล้ายกับกลไกของ Bitcoin Halving ที่หลายคนในวงการคริปโตคุ้นเคยมากกว่าที่คิด
เมื่อ KBANK เริ่มทำการซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดจะลดลง หุ้นที่ซื้อคืนมาจะถูกเรียกว่า “หุ้นซื้อคืน” หรือ Treasury Stock ซึ่งจะไม่มีสิทธิออกเสียงโหวต ไม่นับเป็นองค์ประชุม และไม่ได้รับเงินปันผล เหมือนกับการที่ Bitcoin ถูกลดอุปทานลงทุก 4 ปี จากการเกิด Bitcoin Halving ผลักดันให้สินทรัพย์ที่เหลือมีมูลค่ามากขึ้น
ตามทฤษฎีแล้ว เมื่ออุปทานมีการลดลง แต่ความต้องการยังคงเดิม ราคาย่อมมีโอกาสพุ่งขึ้น ขณะที่ตัวเลขงบการเงินก็จะดูดีตามกันไป กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) จะเพิ่มขึ้นเพราะแบ่งด้วยตัวหารที่น้อยลง เงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น และอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ก็ดีขึ้นตามไปด้วย
ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัทมีกำไร 500 ล้านบาท มีหุ้น 100 ล้านหุ้น EPS จะอยู่ที่ 5 บาทต่อหุ้น แต่ถ้าซื้อหุ้นคืนครึ่งนึง 50 ล้านหุ้น EPS จะกระโดดเป็น 10 บาทต่อหุ้นทันที ผ่านการที่บริษัททำการ“ซื้อหุ้นคืน”
การ “ซื้อหุ้นคืน” ต่างจาก Bitcoin Halving ที่เกิดขึ้นอัตโนมัติทุก 4 ปี โดยไม่มีใครควบคุมได้ การซื้อหุ้นคืนเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร เงื่อนไขคือบริษัทต้องมีกำไรสะสม มีสภาพคล่องเหลือเฟือ และต้องไม่ทำให้หุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาด (Free Float) ต่ำกว่า 15%
KBANK สามารถตัดสินใจซื้อหุ้นคืนได้เองเพราะซื้อไม่เกิน 10% ของทุนชำระแล้ว แต่ถ้าเกิน 10% จะต้องขอมติจากผู้ถือหุ้น และต้องซื้อผ่านระบบ General Offer (GO) เท่านั้น นอกจากนี้ หุ้นที่ซื้อคืนมาต้องบริหารจัดการภายใน 3 ปี ไม่ว่าจะนำกลับมาขายในตลาดหรือตัดทิ้งโดยลดทุน
จุดที่น่าสนใจที่สุดคือ ราคาที่ KBANK ยอมจ่าย ธนาคารกำหนดว่าจะซื้อหุ้นคืนในราคาไม่เกิน “ราคาปิดเฉลี่ย 5 วันก่อนหน้า บวก 15%” ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับโครงการซื้อหุ้นคืนทั่วไปที่มักบวกแค่ 2-3% เท่านั้น
การยอมจ่ายพรีเมียมสูงแบบนี้ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าผู้บริหารเชื่อว่าหุ้นถูกเกินไป และต้องการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนเห็นว่า บริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่ง คล้ายกับตอนที่เจ้ามือคริปโตซื้อ Bitcoin ตอนตลาดถล่ม เพื่อส่งสัญญาณว่าเชื่อมั่นในมูลค่าระยะยาว
สรุปกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายเดียวกัน แต่บริบทต่างกัน
การซื้อหุ้นคืนของ KBANK และ Bitcoin Halving มีเดียวกัน คือ “ลดอุปทานเพื่อเพิ่มมูลค่า” แต่ Bitcoin Halving เป็นกลไกอัตโนมัติที่ถูกเขียนไว้ในโค้ด ไม่มีใครควบคุมได้ และเกิดขึ้นทุก 4 ปีอย่างแน่นอน ส่วนการซื้อหุ้นคืนเป็นกลยุทธ์ที่ผู้บริหารเลือกใช้เมื่อเห็นว่า เป็นจังหวะที่เหมาะสม มีเงื่อนไข มีกรอบเวลา และมีเป้าหมายที่ซับซ้อนกว่า
ทั้งสองวิธีพยายามทำสิ่งเดียวกัน นั่นคือ ทำให้สินทรัพย์ที่เหลือมีค่ามากขึ้นผ่านการลดอุปทาน แต่สำหรับนักลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องดูว่า ตัวเลขทางการเงินที่ดีขึ้นนั้น มาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นจริงๆ หรือเป็นแค่การปรับตัวเลขด้วยเทคนิคทางบัญชี เพราะหุ้นที่ดีต้องมาพร้อมกับการเติบโตที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่สวยงามชั่วคราว
ที่มา:thairath

