ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและธนาคารกลางสหรัฐฯ ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ใช้เวทีแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ในการโจมตีเจโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างดุเดือด
โดยทรัมป์ได้เรียกพาวเวลว่าเป็น “คนโง่” และแสดงความต้องการอย่างชัดเจนว่าอยากจะไล่เขาออกจากตำแหน่ง พร้อมทั้งขู่ว่าจะดำเนินการฟ้องร้องในข้อหา “บกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง” ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับผู้สื่อข่าวและวงการการเงินทั่วโลก
ข้อกล่าวหาเรื่องงบประมาณ ตัวเลขที่ถูกปั่นและความจริงที่สวนทาง
ประเด็นหลักที่ทรัมป์นำมาใช้โจมตีในครั้งนี้คือโครงการปรับปรุงสำนักงานใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยทรัมป์กล่าวอ้างตัวเลขที่สูงเกินจริงว่าพาวเวลใช้งบประมาณไปถึง 4.1 พันล้านดอลลาร์ในการปรับปรุงอาคารขนาดเล็กเพียงไม่กี่หลัง ซึ่งเขาเย้ยหยันว่าเป็นราคาค่าก่อสร้างที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่พาวเวลเคยชี้แจงไว้ก่อนหน้านี้ว่าใช้งบประมาณจริงอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์ ทรัมป์ยังพยายามเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับผลงานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเศรษฐกิจดี “ทั้งๆ ที่เรามีคนโง่บริหารเฟดอยู่” และตำหนิโจ ไบเดน ที่ตัดสินใจแต่งตั้งพาวเวลกลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง ทั้งที่ตนเองเป็นคนแต่งตั้งพาวเวลในสมัยแรกเมื่อปี 2018
การเปรียบเทียบกับโปรเจกต์บอลรูมทำเนียบขาว
ในระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์ ทรัมป์ได้ยกโครงการก่อสร้างห้องบอลรูมใหม่ในทำเนียบขาวของตนเองมาเปรียบเทียบเพื่อแสดงความเหนือกว่า โดยระบุว่าห้องบอลรูมที่หรูหราอลังการและเป็นสิ่งที่ทำเนียบขาวต้องการมาตลอด 150 ปีนี้ จะใช้งบประมาณเพียง “เศษเสี้ยว” ของงบซ่อมตึกเฟด
แม้ว่าทรัมป์จะอ้างว่าโครงการของเขาใช้งบน้อยกว่าและเร็วกว่ากำหนด แต่เขาก็ยอมรับในภายหลังว่าตัวเลขงบประมาณได้พุ่งสูงขึ้นจากที่เคยประเมินไว้ 200 ล้านดอลลาร์ มาเป็น 400 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เนื่องจากความจำเป็นในการติดตั้งกระจกกันกระสุนและหลังคาป้องกันโดรนเพื่อใช้สถานที่นี้ในพิธีสาบานตน
อนาคตเก้าอี้ประธานเฟดและการประกาศตัวผู้สืบทอด
นอกจากการข่มขู่เรื่องการฟ้องร้องและการไล่ออกแล้ว ทรัมป์ยังได้เปิดเผยถึงแผนการสรรหาประธานเฟดคนใหม่ โดยระบุว่าเขาจะประกาศชื่อผู้ที่จะมารับไม้ต่อจากพาวเวลในช่วงเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ ท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทรัมป์ในการกดดันและแทรกแซงความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกกำลังจับตามองด้วยความกังวล ว่าการเปลี่ยนผ่านผู้นำนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ในปีหน้าจะเป็นไปในทิศทางใด
ที่มา: guardian
