การทำธุรกรรมของ Bitcoin เปลืองพลังงานไฟฟ้ามากพอกับการใช้พลังงานของชาวอเมริกันเวลา 1 สัปดาห์ และนาย Bram Cohen เจ้าของแนวคิด Bittorrent ต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ใครคือนาย Bram Cohen
นาย Bram Cohen คือผู้คิดค้น Bittorrent ในตำนาน โดยเขาเปิดตัวมันในช่วงปี 2000 และเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดเรื่องการถ่ายโอนข้อมูลแบบ P2P หรือ Peer-to-Peer ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
นาย Cohen จึงได้ตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า Chia Network และวางแผนเปิดตัว Cryptocurrency ตัวใหม่ โดยอ้างว่ามันจะกลายเป็นคู่แข่งของ Bitcoin ซึ่ง Chia มีเป้าหมายที่จะแก้ไขปัญหาการใช้พลังงานที่มากเกินไปโดยการไม่ใช้ Proof of work (PoW) เหมือน Bitcoin แต่จะใช้ ‘Proof of time and storage’ แทน
Chia ได้อธิบายว่าตัวมันเป็น “Cryptocurrency” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะจะใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานบน Hard Drive คอมพิวเตอร์ เพื่อทำการยืนยัน Blockchain และทรัพยากรที่จำเป็นต่อการใช้งานของ Chia นั้นก็อยู่ในคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว
วิธีที่จะทำให้ Chia ใช้งานได้จริง
แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังของ Chia นี้ ก็คือการสร้างเหรียญคริปโตที่ดีกว่า โดย Chia ไม่เพียงแต่ที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ PoW แล้ว แต่ยังช่วยให้ Farmer (นักขุดเหรียญของ Chia) มี Stake ที่ดีกว่าในอนาคตด้วยระบบ Ecosystem อีกด้วย
และนี่คือแนวคิดของ Chia:
- มี Node ที่จะคอยเก็บประวัติการเข้าชมทั้งหมดและชุดของการทำธุรกรรมที่รอดำเนินการ และจะใช้ 3 Node ในการกระจายไปยัง Peer ต่างๆ ซึ่งต่างจาก Bitcoin ที่ใช้เพียง 1 Node ให้การกระจายไปยัง Peer ต่างๆ
- เมื่อ Block ใหม่ถูกขุด มันจะถูกกระจายอย่างรวดเร็วไปยัง Node โดย Farmer ก็เริ่มทำงานบน Block ที่อยู่บนสุดได้เลย
- เมื่อ Farmer ค้นพบ Block ใหม่ ก็จะสามารถเผยแพร่ Block ไปในระบบเพื่อให้ Farmer ทุกคนหา “Proof of Space” ที่ดีที่สุด และเมื่อ Proof ครบ 3 แล้ว Proof of time ก็จะเริ่มทำงาน หลังจากเสร็จแล้วก็จะต่อด้วย Proof of space เมื่อเผยแพร่ทั้งหมดแล้วมันก็จะเป็น Block ที่ถูกตรวจสอบเรียบร้อย หลังจากนั้นก็ปล่อยไปยังระบบเพื่อไปสร้างใหม่อีกรอบ
ความแตกต่างระหว่าง Chia และ Bitcoin
หนึ่งในข้อได้เปรียบของ Bitcoin ก็คือการใช้ Proof of Work ในการยืนยัน Blockchain ทำให้ Bitcoin มีความปลอดภัยมาก แต่ใช้เวลาในการประมวผลเยอะกว่าเพื่อดึงข้อมูลออกมา
ส่วน Chia ใช้ระบบที่แตกต่างกันโดยใช้ “Proof of Space” ในการเก็บไฟล์ และทุกๆ คนก็น่าจะมีที่จัดเก็บไฟล์กันอยู่แล้วซึ่งนั่นหมายความว่าทุกคนมีส่วนร่วมใน “การทำฟาร์ม” (farming) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
การรวมกันของ Proof of Space และ Proof of Time ทำให้ Chia สามารถป้องการโจมตีจากหลากหลายรูปแบบได้
ก่อนหน้านี้ก็มีเหรียญตัวหนึ่งที่มีแนวคิดคล้ายๆ กันในการนำเอา Hard Disk มาใช้ประมวลผลธุรกรรมซึ่งก็คือ Burst โดยจะใช้อัลกอริทึ่มที่เรียกว่า Proof of Capacity ในการใช้ความจุของ Hard Disk ในการขุดเหรียญและก็ชูเรื่องการอนุรักษ์พลังงานออกมาเป็นจุดเด่นของตัวเองเช่นกัน
บทสรุปของ Chia
แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธที่จะพูดว่าพวกเขาใช้เงินลงทุนไปเท่าไรกับ Chia แต่ทางบริษัทต้องการที่จะขาย Chia ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2018 โดยจะมีการเปิดให้ระดมทุน ICO อย่างเต็มรูปแบบภายในสิ้นปี 2018
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น