ได้มีการยืนยันว่า ผู้ใช้นามสมมุติ bitPico ได้มีการใช้ Nodes ของเขาในการโจมตีระบบ Lightning Network
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้พัฒนา Lightning Network จำนวนนึงได้รายงานว่า ระบบนั้นเกิดการขัดข้อง ส่งผลให้การทำธุรกรรมออนไลน์ในช่วงนั้นของระบบเกิดการชะงักขึ้น
การโจมตีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะว่าเงินในระบบไม่ได้มีการสูญหายไปเลย ในความจริงแล้วคนที่เสียเงินเป็นกลับเป็น bitPico ด้วยซ้ำไป
นาย Justin Camarena นักพัฒนารุ่นบุกเบิกของ Bitrefill ได้สังเกตเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ และได้ทำการแก้ไขไปเรียบร้อย เขากลับสงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมีคนที่คิดจะทำการโจมตีระบบ โดยไม่ได้หวังจะขโมยเงินจากระบบ
การโจมตีของ bitPico
การโจมตีครั้งนี้ใช้วิธีการ Denial-of-service หรือ Dos ซึ่งเป็นที่รู้กันดีทั่วอินเตอร์เน็ต วิธีนี้จะเป็นการเพิ่มภาระของเซิฟเวอร์ด้วย traffic จำนวนมาก ส่งผลให้ระบบล่มในที่สุด อ้างอิงจาก bitPico เค้าเจอช่องทางการโจมตีถึง 22 ช่องทาง
โดยปกติแล้ว เมื่อเว็บไซต์ที่ถูกการโจมตีนี้ไปจะพัฒนาวิธีมาต่อต้านไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก และนั้นคือทิศทางสิ่งที่ bitPico คาดหวังให้เกิดขึ้นกับเครือข่าย Lightning Network ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าการที่การโจมตีนี้จะเกิดขึ้นได้ เขาต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อเปิดช่องทางการทำธุรกรรมใน Lightning Network อีกด้วย
แล้วในแง่จริยธรรมล่ะ
คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองภายในเครือข่ายผู้พัฒนา เนื่องจาก bitPico เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการ Scaling ด้วยการเพิ่มขนาดบล็อค (BCH) ถึงแม้ว่าเครือข่ายผู้พัฒนาส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ภายหลัง อ้างอิงจาก bitPico การโจมตีครั้งนี้กลับเป็นเรื่องความปลอดภัย มากกว่าการเมืองภายใน เขากล่าวว่า:
“เราอยากมั่นใจว่าระบบนี้จะพังไม่เป็นท่าตอนที่เปิดตัวการใช้งานจริง วิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบคือ การโจมตีระบบนั้นให้มากที่สุด”
แม้ว่าการกระทำดังกล่าวของ bitPico นั้น จะเป็นที่ไม่พอใจสำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ แต่ผลของการโจมตีดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้นต่อการใช้งาน Lightning Network ซึ่งข้อผิดพลาดที่เจอต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่ Lightning Network จะพร้อมจะเปิดใช้งาน
ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง หลาย ๆ คนอาจตั้งคำถามว่า การโจมตีระบบเพื่อทดสอบ ประสิทธิภาพของระบบนั้นดีที่สุดแล้วจริงหรือเปล่า อย่างเช่น อาจจะใช้วิธีการรายงานช่องโหว่ในระบบนี้กับทางกลุ่ม แล้วช่วยกันแก้ปัญหาอาจเป็นวิธีที่ได้ผล และทำให้เกิดความขัดแย้งน้อยกว่า
ไม่มีใครรู้ว่าในจุดประสงค์ที่แท้จริงของ bitPico นั้นเป็นการโจมตีเพื่อทดสอบระบบจริง ๆ หรือไม่ แต่ที่นักพัฒนาทุกคนทราบดีในตอนนี้ คือ ระบบนั้นมีช่องโหว่อยู่คือเรื่องจริง
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น