ตอนนี้หลาย ๆ คนคงมีคำถามในใจว่าอยู่บ้างแหละ ว่าจริง ๆ แล้ว Cryptocurrency นั้นช่วยแก้ปัญหาในโลกเราได้จริง ๆ หรือ เป็นแค่แหล่งฟอกเงินแหล่งใหม่สำหรับอาชญากร
ทุก ๆ คนย่อมรู้กันดีว่า ข้อดีของ Cryptocurrency คือไม่มีตัวกลางในระบบ แต่แน่นอนว่าในอีกมุมนึง มันก็เป็นดาบสองคมได้เช่นกัน คำถามที่ตามมาคือ ใครจะเป็นผู้ต่อสู้และรับผิดชอบกับการฟอกเงิน หรือเหตุร้ายต่าง ๆ ที่ตามมา ? ยกตัวอย่าง เช่น เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นกับนักลงทุนคริปโตนาม Ian Balina ถูกแฮ็คสูญเสียไปกว่า 2 ล้านดอลลาร์ระหว่าง Live Stream
Crypto Family, I need you now more than ever. I ended today’s live stream b/c I am being hacked. I’m not worried about the money. I learned my lesson. I only care about catching the hacker. Please email any information to [email protected]. Thank you all the support. $ETH $BTC
— Ian Balina (@DiaryofaMadeMan) April 16, 2018
ความยากในการติดตาม
ถ้าเกิดมีการโจรกรรมเกิดขึ้นในธนาคารปกติ ธนาคารจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ แต่ว่าสำหรับวงการคริปโตนั้น เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่มีใครเป็นคนรับผิดชอบ
ในวงการคริปโตการติดตามธุรกรรมนั้น ยากยิ่งกว่าปกติ หากเรานำ Address อันนึงที่ได้ถูกกล่าวอ้างว่าได้ไปทำการหลอกลวงคนอื่นมาดู จะเห็นว่าบัญชีเหล่านั้นจะนำเงินที่โกงมาได้ โอนแบ่งไปที่บัญชีขนาดเล็ก และแบ่งเงินเป็นจำนวนย่อย ๆ เพื่อส่งไปหาบัญชีเหล่านั้นให้ติดตามยากขึ้นไปอีก นอกจากเงินเหล่านั้นยังถูกส่งไปที่ Shapeshift (Shapeshift คือบริษัทที่รับแลกเหรียญคริปโตโดยในการแลกเปลี่ยนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้บัญชี) เพื่อให้ติดตามไม่ได้
นอกจากนี้บัญชีนั้นยังได้ใช้ Ethereum Mixer โดยการทำงานของมันคือ แบ่งจำนวนเงินในบัญชีเป็นจำนวนย่อย ๆ แล้วส่งไปที่ บัญชีที่สร้างใหม่ของคนอื่น จากนั้นส่งต่อไปที่บัญชีปลายทางอีกรอบนึง ตามภาพด้านล่าง
และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เนื่องจาก Satoshi Fund วิจัยว่าธุรกรรมที่เกิดจาก Ethereum Mixer นั้นคิดเป็น 68.5 เปอร์เซ็นต์จากธรุกรรมทั้งหมดบน Ethereum
แต่หลาย ๆ ก็อาจจะถามอีกว่า สุดท้ายแล้วเงินไม่ดีเหล่านั้นก็ต้องไปแลก และถอนออกที่เว็บเทรดต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ทำการ KYC อยู่ดีนี่ ? ในทางทฤษฎีแล้วก็อาจจะใช่ ถ้าเกิดเจ้าของบัญชีใช้รูปของเขาเอง แต่ถ้าเกิดเขาขโมยรูปของคนอื่นมายืนยันล่ะ ? ซึ่งก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งซะด้วย ปัญหาของการ KYC จากเว็บเทรดต่าง ๆ นั้นคือพวกเขาอนุญาติให้อัปโหลดรูปภาพได้ แทนที่จะต้องถ่ายรูปแบบ Live เพื่อยืนยัน
ICO, การขุดและบริการขุดคริปโต มีส่วนร่วมมากกว่าที่ิคิด
ยังไม่นับรวมว่าพวกเขาเหล่านั้น สามารถนำเงินที่โกงมา ไปฟอกด้วยการขุดคริปโตได้ ซึ่งโดยปกติเวลานักขุดคริปโตมีความต้องการที่จะขุดใน Pool นั้น ๆ Pool เหล่านั้นจะไม่ทำการ KYC
ซึ่งปัจจุบันตอนนี้ ได้มีบริการเช่ากำลังขุดออนไลน์ด้วยแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องนำเงินไปซื้อฮาร์ดแวร์ในการขุดเองเลย ยังไม่นับว่าสามารถใช้บริการ Cloud Mining ได้ด้วย ทำให้การฟอกเงินนั้นง่ายยิ่งขึ้นไปอีก หรือพวกเขาก็สามารถนำเงินไป ลง ICO ด้วย เพราะว่ามี ICO จำนวนมากไม่จำเป็นต้องทำขั้นตอน KYC ก็สามารถระดมทุนกับพวกเขาได้ ดังรูปของ ICO ตัวอย่างที่จำเป็นต้องระดมทุนมากกว่า 50 ETH เท่านั้นถึงต้องทำการ KYC
คนที่อยากฟอกเงินก็แค่ระดมทุนให้ผ่าน, รอรับโทเค็น, รอให้โทเค็นที่ได้จากการระดมทุนลิสต์ในเว็บเทรด จากนั้นทำการแลกเปลี่ยนเป็นเงินออกมาอย่างง่ายดาย
หรือจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องการการป้องกัน ?
เรารู้กันดีว่าการข้อเสียของการที่ไม่ได้ KYC และการติดตามธุรกรรมไม่ได้นั้นมีอะไรบ้าง แล้วถ้าเกิดในกรณีที่ผู้ใช้ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่อยากให้ข้อมูลของพวกเขาเป็นส่วนตัวล่ะ ?
กรณีดังกล่าวมีอยู่ทั่วไปเช่น ถ้าเกิดเราเป็นเจ้าของกิจการซ่องในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งที่นั่นมันถูกกฎหมาย แต่ว่าไม่อยากเปิดเผยข้อมูลที่มาของ รายได้เหล่านี้ต่อคนอื่นหละ
ซึ่งมีอีกหลายกรณีมากที่ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเรานั้นมีความสำคัญต่อเรา เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุด คือ KYC แค่เฉพาะพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการฟอกเงินจึงเหมาะสมกว่า
ทำไมเราต้องสนใจปัญหาเหล่านี้ด้วย ?
ถ้าเกิดคุณเป็นบริษัท การไม่ทำตาม AML นั้นจะทำให้บริษัทของคุณได้รับความเสียหายอย่างหนัก ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของ J.P. Morgan ซึ่งธนาคารดังกล่าวสูญเสียค่าปรับไปกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์ ผู้ออกกฎหมายทั่วโลกกำลังพิจารณาว่าควรจะใช้กฎหมายดังกล่าวกับวงการคริปโตมั้ย
ถ้าเกิดคุณเป็นบคุลลทั่วไป การไม่ทำตามข้อบังคับดังกล่าว อาจจะทำให้มีโทษถึงขั้นติดคุก ติดตารางได้เลยทีเดียว
แล้วอะไรหละที่จะกำจัดปัญหาเหล่านี้ได้ ?
สิ่งแรกที่เราควรทำคือสร้างระบบ KYC ที่ดีขึ้นมาซะก่อน โดยคำว่าดีในที่นี้หมายถึง :
- ระบบที่บังคับให้ผู้ที่จะยืนยัน ต้องถ่ายรูปของตัวเองและบัตรประชาชน แบบ Real Time ผ่าน Web Cam ไม่มีการอัปโหลดรูปเกิดขึ้น ก็จะป้องกันปัญหาการนำรูปของคนอื่นมายืนยันแทนได้
- ใช้ Algorithm หรือ จ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีความสามารถในการตรวจจับใบหน้าให้ตรงกับในเอกสาร
ถ้าให้สรุปทุกอย่าง
- การฟอกเงินในวงการคริปโตนั้นเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้เท่าทันมันซะก่อนว่าเกิดขึ้นที่ไหน
- การขุดหรือบริการขุดเหรียญคริปโต, ICO, Ethereum Mixer ทำให้ระบุได้ยากขึ้นว่าเงินนั้นสะอาดหรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องมีการเชื่อมกระเป๋าคริปโตเข้ากับบัญชีที่ผ่านการยืนยันตัวตนดังกล่าว
- ความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้น การทำ KYC ในอดุมคติคือการยืนยันตัวตน ที่ผู้ยืนยันไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน
ที่มา ccn
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น