Ethereum Classic พึ่งจะนำ Difficulty Bomb ออกไปในวันที่ 29 พฤษาภาคม 2018 ที่ผ่านมา
แต่เดิม Difficulty Bomb นั้นออกแบบมาเพื่อเพิ่มค่า Difficulty ในระบบ ซึ่งยิ่งมีค่าดังกล่าวมากเท่าไร การขุดคริปโตนั้น ๆ ก็จะยากขึ้นไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้ได้คริปโตนั้นเป็นค่าตอบแทนในการยืนยันธุรกรรมในระบบน้อยลงไปเรื่อย ๆ
อ้างอิงจากทวิตเตอร์ของนักพัฒนา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใน Block ที่ 5,900,000 ของเครือข่าย
ถึงแม้จะยากที่จะทราบได้ว่า Node ทั้งหมดของเครือข่ายนั้น อัปเกรดไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ แต่นักพัฒนากล่าวว่า Pool ขุดคริปโต และ Node ของเว็บเทรดส่วนใหญ่นั้นรายงานมาว่าได้อัปเกรดเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ยังไม่มีผลข้างเคียงหรือบั๊กตามมาภายหลังแต่อย่างใด และการอัปเกรดครั้งนี้ยังถูกคาดหวังให้สามารถลดระยะเวลาในการสร้าง Block อีกด้วย
การอัปเกรดครั้งนี้ยิ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่าง Ethereum และ Ethereum Classic มากขึ้นไปอีก
ในขณะที่เครือข่าย Ethereum มุ่งเน้นไปทางระบบ Proof-of-stake แต่ดูเหมือนสมาชิกส่วนใหญ่ในเครือข่ายของ Ethereum Classic นั้นจะต้องให้เครือข่ายใช้ระบบ Proof-of-work อยู่
ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Ethereum Classic ก็ได้มีการ Hard Fork ภายในเครือข่ายเช่นกัน โดยมีเหรียญ Callisto แยกออกมาเพิ่ม ซึ่งผู้ถือเหรียญ Ethereum Classic ในเวลานั้นก็ได้รับเหรียญดังกล่าวไปในอัตราส่วน 1:1 เช่นกัน
ที่มา Coindesk
ที่มาภาพ Coinwar
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น