หลาย ๆ คนที่เพิ่งเข้าสู่วงการคริปโตอาจ อาจเข้ามาด้วยความสนใจในการขุด Bitcoin เนื่องจากคิดว่ามันสามารถสร้าง Passive Income ให้กับพวกเขาได้ และเป็นรายได้รูปแบบใหม่ แต่มือใหม่ส่วนใหญ่อาจสับสนว่าพวกเขาควรเริ่มขุดด้วยอุปกรณ์ขุดแบบไหน การ์ดจอ, ASIC หรือว่า Cloud Mining ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละรูปแบบนั้นมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
การ์ดจอ
การ์ดจอเป็นตัวเลือกที่นิยมที่สุดในบรรดานักขุดในประเทศไทย เนื่องจากความยืดหยุ่นของอุปกรณ์ ทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุนที่น้อยลง
ข้อดีหลัก ๆ ของการ์ดจอคือมันสามารถขุดได้หลากหลาย Algorithm ทำให้เมื่อเวลาเหรียญไหนที่ขุดเจอเหตุการณ์ร้ายแรงเช่น ค่า Difficulty ที่มากขึ้น พวกเขาก็แค่หา Algorithm อื่น และสลับไปขุดเหรียญอื่นแทน
นอกจากนี้การ์ดจอยังหาซื้อได้ไม่ยากเท่าอุปกรณ์อื่น ๆ อีกด้วย และที่สำคัญที่สุดคือการ์ดจอมีประกันที่ยาวนานกว่า โดยส่วนใหญ่จะรับประกันถึง 3 ปี ซึ่งทำให้นักขุดมั่นใจได้ในระยะเวลาดังกล่าว รวมทั้งหากเลิกขุดคริปโตขึ้นมา ก็สามารถนำไปขายต่อ หรือนำไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ ได้ไม่ยากนัก
เวลาขุดคริปโตด้วยการ์ดจอ นักขุดไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องของเสียงรบกวนของเครื่องขุด และความร้อนที่มันปล่อยออกมาอีกด้วย
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
ข้อเสียหลัก ๆ ของการ์ดจอ คือหากเทียบกับราคาต่อกำลังขุดแล้ว การ์ดจอมีราคาที่สูงกว่าหากเทียบกับกำลังขุดที่ได้มา ส่งผลให้คืนทุนช้ากว่าแบบอื่น ๆ ซึ่งอาจจะไม่ทันใจนักขุดหลาย ๆ คน รวมทั้งการ์ดจอไม่สามารถขุด Bitcoin ได้อีกด้วย จำเป็นต้องขุดผ่านตัวกลางอย่าง Nicehash ซึ่งมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
ASIC
ถึงแม้ว่า ASIC จะไม่เป็นตัวเลือกที่นักขุดหลายคนนิยมนัก แต่หากเทียบในเชิงประสิทธิภาพแล้ว ในหลาย ๆ ครั้ง ASIC เป็นอุปกรณ์ขุดที่คืนทุนเร็วที่สุด
ข้อดีของ ASIC คือประสิทธิภาพของมัน หากเทียบอัตราส่วนในราคาที่จ่ายไปต่อกำลังขุดที่ได้มาแล้ว จะเห็นว่ามีประสิทธิภาพกว่าขุดด้วยวิธีอื่น ๆ อยู่มาก ทำให้สามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็วกว่าแบบอื่น และ ASIC สามารถขุด Bitcoin ได้โดยตรงซึ่งแตกต่างกับการ์ดจอ
ข้อเสียหลัก ๆ ของ ASIC คือเสียงขุดที่ดังและค่าไฟที่ค่อนข้างแพง ทำให้ขัดขุดที่มีเครื่องขุดเยอะ ๆ มีค่าใช้จ่ายรายเดือนมาขึ้น ซึ่งส่งผลเสียกับสาย HODL อย่างไรก็ตาม ASIC รุ่นหลัง ๆ ที่ออกมานั้นกินไฟน้อยยิ่งกว่าการ์ดจอเสียอีก และจำเป็นต้องพรีออร์เดอร์เองหากต้องการบริษัท ซึ่ง ASIC บางล็อตนั้นต้องจ่ายตังค์เต็มจำนวนเป็นเวลากว่า 2 ถึง 3 เดือนกว่าจะได้รับของ
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
Cloud Mining
Cloud Mining จัดว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มือใหม่นิยมเช่นกัน เนื่องจากความเรียบง่ายในการลงทุนของมัน
Cloud Mining เป็นวิธีที่ค่อนข้างเรียบง่าย เพียงแค่ลงทุนให้กับเว็บ Cloud Mining เพื่อเช่าซื้อสัญญาขุด จากนั้นทางเว็บก็จะขุดให้เรา และจ่ายผลตอบให้ในทุก ๆ วัน ไม่จำเป็นต้องมานั่งดูแลเครื่องขุด หรือไปไล่หาซื้อเครื่องขุด และตั้งค่าการขุด ซึ่ง Cloud Mining จะเข้ามาจัดการในเรื่องนั้น
ข้อเสียที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือความเสี่ยงที่ตามมา เนื่องจากไม่มีอะไรมารับรองว่าเว็บที่เราลงทุนไปนั้นจะหนีหายไป รวมทั้งไม่สามารถทราบได้จริง ๆ ว่า เครื่องขุดที่เช่าไปขุดให้เราได้เท่าไร เนื่องจากสิ่งที่เราเห็นจะเป็นเพียงตัวเลขที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอเท่านั้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าถ้าเขาจะทำอะไรก็ตาม เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
สรุป
การขุดแต่ละรูปแบบนั้นมีความเสี่ยงข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป นักขุดแต่ละคนควรหาวิธีที่เหมาะที่สุดกับตัวเอง สำหรับคนที่กลัวเสียงดัง อาจจะเลือกการ์ดจอหรือ Cloud Mining แต่หากคนไหนศรัทธาใน Bitcoin ก็ควรเลือก ASIC เพื่อสะสม Bitcoin ให้มากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องพิจารณาข้อจำกัดของแต่ละคนเป็นเคส ๆ ไป
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น