การเทรดคริปโตถือว่าเป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมที่บูมมาก ๆ ในช่วงปี 2017 ที่ผ่านมาเพราะว่า ราคา Bitcoin หรือคริปโตนั้นสูงถึง 20,000 ดอลลาร์และคริปโตหลาย ๆ ตัวก็สามารถทำ ATH ได้ตลอด
แต่เมื่อต้นปี 2018 ราคา Bitcoin ก็ลดลงจาก ATH กลับไปอยู่ที่ 3,500 ถึง 3,600 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2018 และราคา Altcoin ตัวอื่น ๆ ก็ลดลงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ บางตัวอาจมีมูลค่าใกล้แตะ 0 ดอลลาร์ด้วยซ้ำ
ปัจจุบันมีเว็บเทรดคริปโตมากกว่า 370 แห่ง ซึ่งมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของเว็บเทรดทั้งหมดที่เริ่มเปิดให้บริการในเดือนมีนาคมปี 2018 นั้น เริ่มทะยอยปิดตัวลงแล้ว
อย่างที่ทราบกันรายได้ส่วนใหญ่ของเว็บเทรดพวกนี้นั้นมาจากค่าธรรมเนียมในการเทรด ค่าลิสต์เหรียญดัง ๆ ให้ไปอยู่บนเว็บเทรดยักษ์ใหญ่หรือแม้แต่แบนเนอร์โฆษณาข้าง ๆ ตัวเว็บนั่นแหละ
แต่เมื่อตลาดหมีมาเยือนเชื่อว่าในทุก ๆ วงการไม่ใช่แค่วงการคริปโตก็เบือนหน้าที่จะมาเทรดด้วยซ้ำ เพราะราคามันไม่กระเตื้อง เทรดไปก็มีแต่เสียเปล่า ๆ เพราะค่าธรรมเนียมการเทรดยังคงมี
นอกจากนี้พฤติกรรมในการค้นหาคำว่า Bitcoin จากปลายปี 2017 นั้นก็ลดลงเป็นอย่างมาก หากเทียบกับเดือนธันวาคมปี 2017 กับธันวาคมปี 2018 นั่นเอง และแน่นอนว่ารายได้จากนักลงทุนคริปโตก็ลดลงเรื่อย ๆ เพราะคนเข้ามาเทรดน้อย ก็เห็นโฆษณาน้อย เมื่อเห็นโฆษณาน้อย รายได้จากโฆษณาที่ติดอยู่บนตัวเว็บไซต์ก็จะน้อยตามไปด้วย
และเมื่อตลาดหมีได้ครอบงำตลาดคริปโตเป็นเวลานาน ก็ทำให้เว็บเทรดคริปโตหลายเว็บปิดตัวลงเนื่องจากรับค่าใช้จ่ายในการดูแลไม่ไหวเช่น 247Exchange, Abucoins, Bitlio, Brighton Peak และอื่น ๆ อีกมากมาย
Decentralized Exchange กำลังเข้ามาแทนที่
การแข่งขันเริ่มมากขึ้น จากที่เว็บเทรดแบบ Centralized ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดนั้น เว็บเทรดแบบ Decentralized ก็ผุดขึนมาต่อสู้กันมากขึ้น หรือการเทรดแบบ “Wallet-to-Wallet” ก็เริ่มที่จะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น
Decentralized Exchange จะเข้ามาแทนที่เว็บเทรดคริปโตแบบ Centralized มากขึ้น เพราะจะมาแก้ไขเรื่องความโปร่งใส เรื่องความเสถียรและค่าธรรมเนียมนั่นเอง
เว็บเทรดแบบ Centralized ปรับตัวกันอย่างไร
ในเมื่อเว็บเทรดคริปโตแบบ Decentralized กำลังมาแรงนั้น เว็บเทรดทั่วไปแบบ Centralized ก็ต้องหาหนทางที่จะทำให้เว็บของตัวเองอยู่รอด หรือไม่ก็ให้คนมาเทรดกันเยอะ ๆ หรือให้มันยังคงความสม่ำเสมอ
ถ้าเป็นของประเทศไทยสังเกตได้ว่าเว็บเทรดอย่าง Bitkub พยายามออกเคมเปญต่าง ๆ ให้นักเทรดหันมาเทรดในช่วงตลาดหมี เช่นการเทรดให้ถึงยอดที่ทางเว็บเทรดกำหนด ก็จะไดัรับเหรียญกลับไป เมื่อคิด ๆ แล้วนั้น อาจเป็นผลประโยชน์ต่อนักเทรดและเว็บเทรดเช่นกัน เพราะว่าเว็บก็จะเกิดสภาพคล่อง นักเทรดก็ได้เทรด
หรือแม้แต่การออกแคมเปญที่ว่า มาสมัครสมาชิกหรือทำการ KYC (Know-Your-Customer) ที่บนเว็บไซต์ก็ได้รับค่า Fee ในการเทรดไป แบบนี้ก็เป็นการส่งเสริมให้นักเทรดนั้น ทำสิ่งที่ถูกต้อง แถมยังได้ค่า Fee ในการเทรดด้วย
หรือเมื่อมีการลิสต์เหรียญอะไรใหม่ ๆ ก็จะมีแคมเปญเชิญชวนนักลงทุนให้มาเทรดเหรียญนั้น ๆ เพื่อที่จะสร้างสภาพคล่องให้กับเว็บไซต์และเหรียญนั้น ๆ นั่นเอง และเมื่อมีสภาพคล่องเกิดขึ้นบนเว็บ เหรียญนั้นก็จะไม่ตายและมีคนเทรดตลอดนั่นเอง
สุดท้ายถ้าเว็บเทรดแบบ Cerntralized ปรับตัวได้ ก็จะไม่มีวันตาย เพราะสิ่งที่เว็บเทรดแบบ Decentralized ไม่สามารถชนะได้เลยก็คือเรื่องของบริการ แน่นอนว่าถ้าลูกค้ามีปัญหา จะสามารถคุยกับใครได้ ก็ต้อง Csll Center ของเว็บเทรดนั้น ๆ นั่นเอง
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น