แม้ว่าจะไม่มีใครรรู้เบื้องหลังที่แท้จริงของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเบื้องหลังนามแฝง “ Satoshi Nakamoto” เลยก็ตาม คงจะเป็นการยากที่จะคาดเดาที่มาที่ไปของแรงบันดาลใจในการออกแบบและพัฒนาระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบ peer-to-peer เป็นครั้งแลกของโลกด้วย Bitcoin
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เป็นที่ชัดเจนนั่นก็คือการสร้างสกุลเงินคริปโตที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมจากส่วนกลางโดยอย่างยิ่งจากรัฐบาล และเพื่อเป้าหมายนี้แล้ว Nakamoto ได้สร้างและใส่กลไกป้องกันไว้ในแบบร่างของตัว Bitcoin รวมทั้งในตัวมติในเรื่อง cryptography, การไม่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยส่วนกลาง หลักการ Proof of work รวมทั้งในหลักการดำรงเหรียญในระบบ (hard-capped supply) รวมถึงในหลักการอื่นๆด้วย รวมถึงการคาดเดาตีความจากสิ่งที่ Satoshi ต้องการจะสื่อจากที่เขาได้กล่าวไว้ ซึ่งอาจหมายความได้ว่า Satoshi ได้เคยพิจารณาถึงวิธีการที่ทำให้ Bitcoin ซึ่งตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว จะไม่มีค่าอะไรเลย
จริงหรือที่ว่า Satoshi Nakamoto ได้คิดค้นวิธีทำให้ Bitcoin นั้นเป็นอันไร้ประโยชน์หากตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น
เมื่อสิบปีก่อนหลังจากเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 ได้ผ่านพ้นไปไม่นาน Satoshi Nakamoto ได้ออกแบบสิ่งที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับสกุลเงินในอุดมคติมากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นในโลก ซึ่งเป็นเงินที่มีแนวโน้มที่จะก่อสภาพเงินฝืด เป็นเงินที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมจากส่วนกลาง อีกทั้งยังได้รับการปกป้องโดยการเข้ารหัส และด้วยตัวมติของตัว Bitcoin เองด้วยเพื่อเป็นการป้องกัน Bitcoin จากการที่รัฐบาลต้องการที่จะเข้าควบคุมการดำเนินการทางการเงินของบุคคล
ตราบใดที่บุคคลนั้นๆถือ keys ส่วนตัวของตัวเองไว้ จะไม่มีใครสามารถที่จะเช้าควบคุม Bitcoin ของพวกเค้าได้ อีกทั้งยังเป็นการยากมากที่จะเกิดการที่มีผู้อื่นที่สามารถเข้าควบคุม Bitcoin ของคนอื่นได้ ซึ่งอาจจะเป็นในกรณีที่มีการขโมยเกิดขึ้น อีกทั้ง Satoshi น่าจะได้ทำการค้นคว้ามาอย่างดีแล้วถึงวิธีการที่จะทำให้ Bitcoin นั้นเป็นอันไร้ประโยชน์ ผู้ซึ่งได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงซึ่งถือ Bitcoin ไว้โดยชอบหากจะเข้าครอบครองอีกครั้ง ตัว Bitcoin นั้นจะกลับสู่สภาพและมูลค่าเดิม
What was Satoshi trying to say here regarding $BTC? https://t.co/is6oDXFDl3
— ?Popepe? (@BTCDJS) March 18, 2019
จากทวีตของผู้ซึ่งอุทิศตัวให้แก่คำกล่าวของ Satoshi Nakamoto ได้ทำให้ Twitter ร้อนเป็นไฟด้วยการพูดคุยของเหล่านักวิเคราะห์และคาดคะเนทางคริปโตถึงสิ่งที่บุคคลผู้อยู่เบื้องหลังคิดจากคำกล่าวที่ได้มีการเผยแพร่ออกมา
“ลองจินตนาการว่าทองคำจะเปลี่ยนเป็นตะกั่วเมื่อถูกขโมย แต่หากโจรซึ่งขโมยไปได้ส่งคืน ตะกั่วนั้นจะกลับกลายเป็นทองคำอีกครั้ง”
This Satoshi quote is very intriguing to me.
How do you guys interpret it? https://t.co/9Y6063pTEq
— AwyeeBitcoin (@DeaterBob) March 18, 2019
และดูเหมือนว่า Satoshi นั้นจะใช้ทองคำเป็นตัวอย่างในการแสดงถึงสิ่งที่ Bitcoin สามารถทำได้ คำกล่าวนั้นได้นำมาจากโพสใน 2010 BitcoinTalk forum ซึ่งเกี่ยวกับการพูดคุยถึงการเคลื่อนย้ายกองทุนไปสู่ตัวแทนซึ่งเป็นบุคคลที่สามเพื่อการปฎิบัติตามสัญญาที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย โดยในโพสดังกล่าว Satoshi ได้อธิบายถึงแนวคิดของเค้าไว้ดังนี้
Satoshi ได้กล่าวว่า “ลองจินตนาการว่ามีใครบางคนขโมยของจากคุณไปและคุณไม่อาจที่จะเอามันกลับมาได้ แต่หากมันเป็นไปได้โดยอาศัย Kill Switch ที่สามารถใช้งานได้จากระยะไกล คุณจะใช้มันรึเปล่าล่ะ? มันเป็นสิ่งดีไม่ใช่เหรอที่หัวขโมยรู้ว่าสิ่งที่ตนขโมยมี Kill Switch อยู่ซึ่งสามารถใช้งานได้จากระยะไกล และหากสิ่งนั้นถูกขโมยไปจริง มันจะเป็นสิ่งที่ไร้ค่าสำหรับขโมยอย่างแน่นอนแม้ว่าคุณจะเสียมันไปแล้ว และหากคุณได้รับมันคืน คุณก็สามารถที่จะคืนค่าเริ่มต้นมันได้”
ในหลายเดือนถัดมาหลังจากที่มีการแสดงความเห็นดังกล่าว Satoshi ได้หายตัวไปจากโลกอินเทอร์เน็ตและได้ปิดช่องทางการติดต่อกับสาธารณชนทุกทาง รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin เมื่อพิจารณาความสามารถของ Satoshi ในการสร้างเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ มันอดคิดไม่ได้ว่าการสนับสนุนทางการพัฒนาและความเป็นผู้นำจะพา Bitcoin ไปได้ไกลแค่ไหน และแม้ว่าจะไม่มีเค้าผู้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังก็ตาม Bitcoin ก็ถือได้ว่ามาไกลมากแล้วจากจุดเริ่มต้น
ที่มา : newsbtc
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น