<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ตัวอัพเดต Bitcoin Core เวอร์ชันต่อไปจะทำให้คุณสามารถเชื่อม Hardware wallet กับ Full node ได้แล้ว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

จากการอัพเดท Bitcoin Core สู่เวอร์ชันที่ 18 ในเร็วๆนี้ จะส่งผลให้เหล่าผู้ใช้สามารถที่จะเชื่อมต่อ Hardware Wallet ของตนเข้ากับแหล่งเก็บข้อมูลหลักหรือ Full node ทั้งหลายได้โดยตรง

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา Bitcoin Core โดยการผสมผสานคุณสมบัติศักยภาพและด้านความปลอดภัยเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงรายการธุรกรรมทุกรายการจาก Full node ได้โดยตรงโดยใช้งานผ่านอุปกรณ์เก็บรักษา Bitcoin Core  ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดอย่าง Hardware Wallet โดยไม่จำต้องติดตั้ง Full node แต่อย่างใด โดยนาย Wladimir van der Laan หัวหน้าฝ่ายดูแลรักษา Bitcoin Core ได้ออกมากล่าวว่าเค้าได้มีความตื่นเต้นคุณสมบัติใหม่นี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำให้บุคคลทั่วไปนั้นสามารถใช้ประโยชน์จาก Full node ได้ง่ายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัท Casa ที่ได้ทำการเปิดตัว Node ซึ่งสามารถติดตั้งได้โดยง่ายนอกจากนี้เหล่านักพัฒนายังได้พยายามดำเนินการลดปริมาณข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องมี (เนื่องจากผู้ใช้ต้องสามารถบันทึกธุรกรรมทุกรายการที่เกิดขึ้นซึ่งมีปริมาณมหาศาล)ในการเปิดใช้งาน Full node แต่ละอันมาโดยตลอดอีกด้วย

นอกจากนี้นาย Andrew Chow หัวหน้าโครงการพัฒนาในครั้งนี้ได้ออกมาเปิดเผยถึงรายละเอียดว่า

“การผสมผสานที่จะเกิดขึ้นแก่ Bitcoin Core รุ่น 0.18 นี้ จะทำให้เราสามารถที่จะเข้าถึง node โดยใช้ Hardware Wallet ผ่าน Hardware Wallet Interface (HWI) ได้ และแม้มันจะต้องอาศัยการใช้คำสั่งทางโปรแกรมแบบ manual อย่างเดียว แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็เป็นอีกก้าวที่สำคัญเนื่องจากคุณสมบัติที่เราสามารถจะใช้ได้ ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ในขณะนี้เหลือแค่การที่เหล่านักพัฒนาจะทำให้มันง่ายสำหรับการใช้มากขึ้นในอนาคตได้เมื่อไหร่เท่านั้น”

การป้องกันผลประโยชน์ของตัวเอง

เหตุผลที่เรามีความจำเป็นต้องใช้ Full node นั้นมาจากกรณีที่การดำเนินธุรกรรมแต่ละรายการ ผู้ใช้จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ Full node เสมอ ซึ่งแหล่งเก็บข้อมมูลดังกล่าวต้องอาศัยพื้นที่หน่วยความจำกว่าหลายร้อยกิกะไบต์

อีกทั้งกรณีที่น่าจะเป็นการสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้มากกว่าคือการที่ผู้ใช้สามารถที่ตรวจสอบข้อมูลการดำเนินธุรกรรมต่างๆได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งข้อมูลทางการเงินจากแหล่งอื่นๆ

เนื่องจากคุณค่าของ Bitcoin นั้นคือการที่คุณไม่จำเป็นต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจในการทำธุรกรรมเนื่องจากความโปร่งใสที่เป็นคุณสมบัติของ Bitcoin มาตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงมีนักพัฒนาหลายคนโต้แย้งการพัฒนาซึ่งต้องการยกเลิกการใช้ Full node นั้นเป็นเสมือนการทำลายวัตถุประสงค์ของ Bitcoin

ตัวอย่างเช่น นาย Sjors Provoost หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมใน Bitcoin core ได้ให้ความเห็นว่า Full node นั้นมีความจำเป็นต่อการรับรู้ว่า  Bitcoin นั้นมีอยู่จริงโดยยกตัวอย่างกรณี Segwit2x หรือ การ Fork ในช่วงปี 2017 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการอัพเกรดขนาดของ Block ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวได้มีความกังวลว่าเป็นการแบ่ง Bitcoin ออกเป็นสองสาย ทำให้ Wallet ของโทรศัพท์มือถือซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยี Simplified Payment Verification (SPV) นั้นมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากเหล่านักขุดผู้ไม่ประสงค์ดี

นาย Sjors Provoost ยังได้กล่าวลึกลงไปในรายละเอียดอีกว่า

“โดยหลักการแล้วเซิฟเวอร์นั้นสามารถที่จะหลอกผู้ใช้ถึงรายการบัญชีที่แท้จริงได้ อย่างในกรณีของ Segwit2x นั้น ผู้ให้บริการสามารถที่จะเลือกที่จะแสดงผลของการ Fork ในด้านใดด้านหนึ่งให้ผู้ใช้เห็นได้ ซึ่งผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้เลยหากมี Full node อยู่ในครอบครอง… และเมื่อพิจารณาถึงเรื่องความเป็นส่วนตัว โดยปกติแล้ว Software ของ Wallet ซึ่งมาพร้อมกับ Hardware Wallet นั้นจะเปิดเผยที่อยู่ของ Wallet ต่อเหล่าผู้ให้บริการ แต่เมื่อผู้ใช้มี Full node แล้วจะเป็นการแทนที่เหล่า Software นั้นๆ เป็นการคืนความเป็นส่วนตัวให้แก่เหล่าผู้ใช้อีกครั้ง ”

นอกจากนี้นาย Samuel Dobson ผู้ดูแลฝ่าย Wallet ให้แก่ Bitcoin Core ได้กล่าวว่า

“ในที่สุดแล้วเราก็ต้องเลือกระหว่างความสะดวกสบายกับความไว้เนื้อเชื่อใจ”

ดังนั้นปัญหาเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ผลักดันแนวคิดที่ว่าทุกคนควรที่จะใช้ Software ในการเข้าถึง Full node เพื่อเป็นการตัดปัญหาที่พวกเขาจะต้องเสี่ยงที่จะเชื่อใจผู้ให้บริการในการส่งข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา

นาย Nicolas Dorier ผู้ก่อตั้ง BTCPay ได้เขียนกล่าวไว้บนบล็อกของเขาว่า

“ ใช่, ผมเชื่อว่าวันหนึ่งทุกๆคนจะต้องมี Full node ของตัวเอง ผมหวังว่าในอนาคตการที่ผู้ใช้ไม่มี Full node นั้นจะเป็นการจำกัดกรอบสิ่งที่สามารถทำได้โดยใช้ Bitcoin  ”

Bitcoin ที่มีความปลอดภัยและไม่ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายตลอดเวลา

การเก็บรักษา Bitcoin ไว้ใน Hardware Wallet นั้นได้ถูกมองว่าเป็นวิธีการที่มีความปลอดภัยมากที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับการเก็บรักษาไว้บนโลกเว็บเทรดซึ่งอยู่ในสายตาของเหล่านักแฮ็คทั้งหลาย โดยนาย Samuel Dobson ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า

“ เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่ามากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ชินเล็กๆที่ถูกสร้างมาเพื่อการเก็บรักษา Private key โดยเฉพาะ อีกทั้งมันยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะเกิดการล้มเหลวหรือความผิดพลาดของระบบ ซึ่งอาจทำให้คุณต้องสูญเสีย Key ซึ่งไม่ได้สำรองไว้ได้อย่างง่ายดาย”

ดังนั้นด้วยเทคโนโลยีนี้ ผู้ใช้จึงสามารถที่จะเก็บรักษา Bitcoin ของพวกเขาไว้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่าย และสามารถที่จะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้โดยการใช้งาน Full node ของพวกเขา อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นได้มีการเริ่มต้นมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของบริษัท Electrum Personal Server ที่นาย Chris Belcher นักพัฒนาได้ริเริ่มไว้ก่อนแล้ว  ซึ่งเค้าได้แสดงความเห็นผ่านประกาศของโครงการของเค้าไปปีก่อนว่า

“ผมหวังว่า Software นี้จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของแผนการในการสร้าง Full node wallet ให้แก่สาธาณณะชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

อย่างไรก็ตาม นาย Sjors Provoost ได้ออกมายอมรับถึงข้อดีและข้อเสียของโครงการดังกล่าวว่า

“ โครงการ HWI นี้น่าจะทำให้สามารถลดการใช้งานส่วนประกอบทาง Software ทั้งหลายที่จำเป็นสำหรับเรื่องนี้ลงได้ แต่มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานมากนัก”

อีกทั้งเค้ายังได้ยอมรับว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลสำหรับการพัฒนา graphical interface ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นาย Dobson ยังได้กล่าวถึงคุณสมบัติใหม่ที่เค้ารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ คือการปรับแต่งภาษาทางโปรแกรมซึ่งเป็นภาษาพื้นฐานของรุ่นก่อนๆของ Bitcoin Core ว่า “คุณสามารถที่จะใส่ descriptor ลงใน Core ได้ … และมันจะทำวิเคราะห์ติดตั้งและนำเข้าซึ่ง Key ทั้งหลาย รวมทั้งชุดคำสั่งอื่นๆไปสู่ wallet ของคุณได้อีกด้วย” โดยได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า

“สิ่งนี้เป็นก้าวแรกสำหรับเป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาและสนับสนุนตัว descriptors ต่างๆภายในระบบ wallet ซึ่งจะส่งผลให้มีความโปร่งใส และเป็นการดำเนินธุกรรมที่คล่องตัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งมันยังสามารถที่จะตอบสนองต่อการดำเนินการที่ผู้ใช้ต้องการได้(ซึ่งมันยังไม่สามารถเป็นดั่งใจได้ในขณะนี้)”

อีกทั้งเค้ายังได้กล่าวถึง ชุดคำสั่งแบบใหม่สำหรับ “Wallet หลายชิ้น” ซึ่งทำให้เหล่าผู้ใช้สามารถที่จะเชื่อมต่อ Wallet แต่ละชิ้นของผู้ใช้ภายใน full node ของพวกเค้า โดยได้เคยมีการปรากฎตัวในรุ่นก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับรุ่น 0.18.0 นั้นจะเป็นการเปิดตัวอินเทอร์เฟซแบบกราฟฟิก (graphical user interface) เป็นครั้งแรกทำให้เหล่าผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนโปรแกรมในการใช้งานคุณสมบัติดังกล่าวอีกต่อไป

ในขณะนี้ รุ่น0.18 นั้นกำลงอยูในช่วงของการ “ปล่อยให้ทดสอบ” ในวงการการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อให้เหล่านักพัฒนา Bitcoin และบริษัทต่างๆได้ดำเนินการทดสอบอย่างเต็มที่เพื่อหาจุดบกพร่องในโปรแกรมก่อนการเปิดตัวสู่สาธารณชนในอีกไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้นั่นเอง

ที่มา : coindesk

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น