<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

กว่าจะมาเป็น Binance: เขาทำอย่างไรถึงสร้างเว็บเทรดคริปโตอันดับหนึ่งของโลกด้วยเวลาแค่ 1 ปี

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

สิ่งที่บริษัท Exchange สำหรับสกุลเงินคริปโตอย่าง Binance โดยการนำของผู้บริหารอย่าง Changpeng Zhao ได้ทำไปนั้นไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากบริษัทอื่นในตลาดเท่านั้น แต่มันเป็นการตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับวงการธุรกิจคริปโตเลยทีเดียว

บริษัท Binance นั้นเป็นกรณีศึกษาอย่างดีสำหรับเหล่าธุรกิจด้านสกุลเงินคริปโตที่กำลังเติบโตในฐานะบริษัทที่ประสบความสำเร็จในตลาดโดยอาศัยการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วในการผลักดันเทคโนโลยีดังกล่าวไปข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไปสำหรับวงการที่มัวแต่พูดคุยถึงศักยภาพของเทคโนโลยีมากกว่าการลงมือปฏิบัติจริง

สิ่งที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นอาจไม่มากพอที่จะแสดงให้ผู้คนเห็นว่า Binance นั้นมีวิสัยทัศน์อย่างไร และอะไรคือความสำเร็จที่แท้จริงของบริษัท โดยเฉพาะในแง่ของการวิเคราะห์ช่วงเวลาที่เหมาะสมของตลาดและการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการ ส่งผลให้บริษัทดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีอิทธิพลต่อตลาดและกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นรูปแบบของธุรกิจที่พวกเราทุกคนต่างใฝ่หา

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เหล่าบริษัทสตาร์ทอัพทั้งหลายกำลังผ่านช่วงเวลาของการผลัดเปลี่ยนและล้มเลิกการดำเนินธุรกิจนี้ ทางบริษัท Binance กลับรู้สึกเหมือนว่าบริษัทกำลังเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง โดยการเปิดตัวสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆที่เป็นการขับเคลื่อนวงการคริปโตไปข้างหน้า ณ เวลาและในทิศทางที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตามชัยชนะดังกล่าวนั้นอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครหลายคนคิด เนื่องจากเหตุผลทางธรรมชาติของตลาดสกุลเงินคริปโตซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและผันผวนอย่างมาก​ ทำให้บริษัทน้องใหม่หลายรายต้องพ่ายแพ้ไปเพราะไม่อาจปรับตัวได้ทันเวลา ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นไม่มีบริษัทไหนที่มุ่งมั่นกับการใช้ประโยชน์และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามลักษณะดังกล่าวของตลาดเท่ากับ Binance อีกแล้ว

บริษัท Binance ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ในช่วงปี 2017 แต่กลับเติบโตอย่างมากในเวลาอันสั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ล้ำหน้าและความเป็นผู้นำทางตลาดของบริษัท และเมื่อพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน 12 เดือนที่ผ่านมาแล้ว สามารถแบ่งลำดับของการเติบโตของบริษัทดังกล่าวได้ดังนี้

  1. ทางบริษัทได้นำเสนอเทคโนโลยีที่ผ่านการทดสอบแล้ว โดยการพัฒนาระบบบริการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินคริปโตในกว่า 15 ประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่สภาวะตลาดจะมีความเหมาะสมมากพอที่จะทำให้บริษัทสามารถดึงดูดให้มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
  2. ในช่วงที่เกิดสภาวะตลาดขาลงขึ้น ส่งผลให้บริษัท Exchange หลายรายต้องประสบกับปัญหาด้านการดำเนินการอย่างมาก อย่างไรก็ตามทาง Binance ได้เปลี่ยนทิศทางในการดึงดูดลูกค้าโดยสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เป็นการเพิ่มมูลค่า อย่างเช่น Binance LaunchPad ซึ่งเป็นการผลักดันยอดขายให้แก่เหล่าสกุลเงินคริปโตหน้าใหม่ๆผ่าน Exchange ของพวกเขา
  3. ในปัจจุบันนี้ ทางบริษัทกำลังดำเนินการลงทุนใน Exchange รูปแบบใหม่ซึ่งปราศจากการกำกับควบคุมจากส่วนกลาง (Decentralized) ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่าเป็นการทำลายธุรกิจ Exchange ดั้งเดิมของตัวเองเพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและขับเคลื่อนวงการคริปโตไปข้างหน้าก็ได้

Binance ไม่ต้องรอฤดูฝน

ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพแล้วในโลกของสกุลเงินคริปโตนั้นมีแค่สองฤดู คือฤดูแล้งและฤดูฝนเท่านั้น

กล่าวคือ เป็นการอธิบายตามหลักตรรกะที่ว่า ช่วงเวลาที่เหล่าผู้ประกอบการสามารถที่จะลงทุนในการดึงดูดลูกค้าให้เพิ่มขึ้นได้อย่างง่ายดายนั้นเป็นเสมือนฝนที่พรมลงมา ต่างจากในบางช่วงที่การลงทุนนั้นอาจไม่ก่อผลกำไรใดๆให้ผู้ประกอบการเลยเสมือนกับฤดูแล้งที่ไม่อาจปลูกอะไรได้ ซึ่งในกรณีของบริษัท Binance นั้นได้เข้ามาในช่วงกลางปี 2017 ที่ตลาดกำลังคึกคัก จึงเป็นอีกจุดแข็งที่เกิดขึ้นต่อบริษัท

นอกจากนี้ผู้บริหารของ Binance อย่าง CZ ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการมามากมาย จากการทำงานในบริษัท Blockchain และ OKCoin สองบริษัทที่รุ่งโรจน์ในอดีตและได้ถอยหลังลงในเวลาไม่นานต่อมา ด้วยเหตุที่พวกเค้าหันหลังให้กลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์กับสภาวะนั้นๆมากกว่า นอกจากนี้ CZ ยังได้ใช้เวลานานนับปีในการพัฒนาระบบการซื้อขาย (ทั้งสำหรับสกุลเงินคริปโตและสำหรับการซื้อขายอื่นๆ) ส่งผลให้เขาสามารถที่จะสร้างผลกำไรจากการเปิด ICO และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ผ่านการทดสอบจริงในตลาดให้แก่ตลาดอื่นๆที่กำลังต้องการสินทรัพย์ในรูปแบบใหม่ๆ (ซึ่งในขณะนั้นเหล่า Exchange ทั้งหลายถูกกำหนดควบคุมโดยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง)

ดังนั้นแล้ว CZ จึงได้มีการตัดสินใจในสองเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงการเดินหมากอย่างชาญฉลาดในเกมธุรกิจนี้คือ

  1. การตัดสินใจเลือกที่จะไม่ดำเนินการซื้อขายกับสกุลเงินธรรมดา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาด้านกฎหมายสำหรับรัฐบาลในแต่ละประเทศ
  2. การตัดสินใจก่อตั้งทีมที่สามารถสร้างสรรค์โครงการและสินค้าใหม่ๆที่สามารถตอบโจทย์แก่ความต้องการของตลาดได้(โดยการสร้างตลาดคริปโตขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ)

ซึ่งการที่ Binance ได้เพิ่มตัวเลือกในสกุลเงินคริปโตที่ลูกค้าสามารถเลือกที่จะลงทุนได้ ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มปริมาณของกลุ่มลูกค้าไปถึงกว่าสามล้านคนในเวลาเพียงแค่ 6 เดือน

แม้ว่าบริษัทคู่แข่งอย่าง Coinbase ซึ่งมีการเติบโตของกลุ่มลูกค้าโดยภาพรวมแล้วน่าประทับใจมากกว่า Binance แต่ในด้านการพัฒนาแล้วไม่อาจเทียบกันได้เลย นอกจากนี้ทาง Coinbase ในช่วงปี 2017 ได้ดำเนินการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากธุรกิจตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินสกุลคริปโตเป็นเงินธรรมดา และยังได้ทำการซื้อขายเหรียญไปเพียงสี่ตัวเท่านั้น โดยบริษัทได้เริ่มเปิดให้บริการเหรียญใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นในช่วงปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับขาลงของตลาดที่เหล่าลูกค้าหน้าใหม่ได้เข้าสู่ตลาดน้อยลงนั่นเอง โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นท้ายๆนี้ คือการที่ Coinbase กลายเป็นหนึ่งในแพลทฟอร์มทางผ่านสำหรับ Binance และสูญเสียกลุ่มลูกค้าเนื่องจากปัญหาด้าน Supply ที่จำกัด บังคับให้ลูกค้าต้องมองหาตัวเลือกอื่นๆเช่น Binance เป็นต้น

เหรียญ BNB ที่เป็นเสมือนปาฏิหารย์

CZ นั้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การหันหน้าหนีจากตลาดซื้อขายสกุลเงินดอลลาร์กับคริปโตเท่านั้น เพราะเนื่องจากในปัจจุบันเหล่าคู่แข่งเริ่มที่จะเลียนแบบกลยุทธ์ทางการตลาดในการเพิ่มตัวเลือกสกุลเงินคริปโตให้มากขึ้นแล้ว เค้าจึงต้องการสินค้าใหม่จากตัวบริษัทที่จะดึงดูดให้ลูกค้าไม่ไปไหน โดยผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ เหรียญ Binance Coin (BNB) นั้นเอง

บริษัทดังกล่าวประสบความสำเร็จในการสร้างวงจรหมุนเวียนผู้ใช้ให้ดำเนินการอยู่ในแพลตฟอร์มของตัวเอง โดยการนำเสนอวิธีการในการเก็งกำไรเหรียญซึ่งมีราคาขึ้นลงตามตลาดไปพร้อมๆกับการดำเนินการให้ผู้ใช้สามารถที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมโดยใช้เหรียญ BNB ได้ โดยในปัจจุบันนั้นเหรียญดังกล่าวมีมูลค่าของตลาดกว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้ Binance ยังได้สร้างเครือข่ายของผลิตภัณฑ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหรียญ BNB ของพวกเค้าอย่างเช่น “LaunchPad” ซึ่งเป็นบริการที่เหล่าผู้ใช้งานสามารถที่จะลงทุนในการเปิดขายเหรียญ หรือ ICO ต่างๆโดยใช้เหรียญ BNB ได้ กรณีเหล่านี้จึงเป็นการผลักดันให้ระบบของเหรียญ BNB นั้นเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆอีกด้วย ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจให้แก่กลุ่มผู้ใช้ในรูปแบบเดียวกันนี้ได้เป็นที่นิยมและได้มีหลายบริษัทเริ่มที่จะเลียนแบบการดำเนินการดังกล่าวแล้วเช่น Huobi, OKcoin และบริษัท Exchange รายย่อยอื่นๆเป็นต้น

อย่างไรก็ตามการสรุปว่าการดำเนินการในรูปแบบนี้เป็นเสมือนหนึ่งในวัตถุดิบชั้นดีสำหรับโมเดลทางธุรกิจก็อาจจะเป็นการด่วนสรุปเกินไป เพราะจะมีธุรกิจไหนบ้างที่ไม่ทำการศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดและนำมาเปรียบเทียบกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทตัวเองบ้าง?

นอกจากนี้ความต้องการสำหรับกลยุทธ์ทางธุรกิจยังมาจาก Exchange ในตลาดอื่นๆอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Kraken ซึ่งได้รับเงินลงทุนจากเหล่าผู้ใช้กว่าร้อยล้านดอลลาร์โดยมีเหตุผลเบื้องหลังว่าผู้ใช้ซึ่งต้องการลงทุนในอนาคตของบริษัท จะมีแน้วโน้มที่จะอยู่กับบริษัทมากกว่า รวมทั้งเป็นการเพิ่มสภาพคล่อง เสียงตอบรับสำหรับสินค้าต่างๆ รวมถึงความเห็นอื่นๆที่อาจเป็นประโยชน์แก่บริษัทอีกด้วย

กล่าวโดยสรุปใจความสำคัญได้ว่า เหล่าธุรกิจ Exchange สำหรับสกุลเงินคริปโตซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ใหญ่และมีประโยชน์หมุนเวียนมากที่สุดในวงการ ต่างมีปัญหาที่ต้องแก้อย่างเดียวกันคือการที่พวกเขาต้องคิดหาวิธีการในการดึงลูกค้าให้อยู่กับแพลต์ฟอร์ม ซึ่งบริษัท Binance นั้นไม่เพียงแต่ได้มองเห็นปัญหานี้มาก่อน แต่กลับได้เตรียมหาทางแก้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

อนาคตที่ยังคงคลุมเครือ

Binance ได้เตรียมเปิดตัว เกตเวย์การแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินธรรมดาและสกุลเงินคริปโตที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นการยอมรับกฎเกณฑ์ของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงไปแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิมอาจจะไม่ใช่ทางสำหรับผู้บริหารอย่าง CZ โดยทางบริษัทได้ทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันให้แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นอิสระจากส่วนกลาง (decentralized) ในชื่อ Binance DEX ที่ได้มีการเริ่มทดสอบไปตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สามารถออกสู่ตลาดได้ในเร็วๆนี้

แพลตฟอร์ม Exchange ดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ใช้สามารถที่จะดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในแบบตัวต่อตัวหรือ peer-to-peer บนฐานของเทคโนโลยี Blockchain โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ให้บริการอย่าง Binance แต่อย่างใด เทคโนโลยีดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำหน้าและยังเคยถูกเปิดตัวมาก่อน ดังนั้นอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นสิ่งที่ทางบริษัทยังต้องหาทางแก้กันต่อไป

สิ่งที่ Binance กำลังทำนั้นมีทิศทางที่แตกต่างจากธุรกิจ Exchange อื่นๆอย่างสิ้นเชิง ซึ่งดูเหมือนว่าบริษัทเหล่านั้นกำลังพยายามที่จะนำวิธีการดั้งเดิมที่ได้ใช้กันใน Wall Street มาก่อนอย่างการแสวงหาเงินทุนจากกองทุนร่วมลงทุนหรือ Venture Capital จากเหล่าสถาบันทางการเงินทั้งหลาย โดยทาง Binance นั้นเห็นโอกาสที่มากกว่าจากการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และเป็นเทคโนโลยีที่มีความล้ำหน้าจนสามารถที่จะขยายกิจการไปสู่การบริโภคจากทั่วทุกมุมโลกได้

นอกจากนี้ การที่ Binance เป็นอิสระจากเงินทุนจากเหล่าสถาบันทางการเงินหรือกองทุนร่วมลงทุนทั้งหลาย ทำให้บริษัทอยู่ในจุดที่เหมาะสมแก่การสร้างแพลตฟอร์ม Exchange ที่เป็นอิสระจากส่วนกลางมากที่สุด โดยเป็นการดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อผู้ใช้ในเครือข่ายเหรียญ BNB ของทาง Binance อย่างแท้จริง

ทว่าการเปลี่ยนแปลงระบบ Exchange จากเดิมที่อยู่ในรูปแบบบริษัท มีตัวกลาง ไปสู่รูปแบบใหม่ที่มีอิสระบนระบบ Blockchain ครั้งนี้นั้นอาจเปลี่ยนแปลง Binance ให้เป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งที่มีคุณค่ามากกว่าการเป็น Exchange ทั่วไป ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง เรื่องราวของบริษัทจะเป็นอีกหนึ่งตำนานที่เปลี่ยนแปลงมุมมองและความคิดในวงการไอที ให้เหล่าธุรกิจในวงการใช้มาตรการและกลยุทธ์ผลักดันให้มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นทางออกในการพัฒนาและสร้างคุณค่าให้แก่ธุกิจนั้นๆขึ้นใหม่ได้ โดยการเปิดตัวเองแก่สาธาณะชน

เรียบเรียงข้อมูลจาก: coindesk

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น