ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ชื่อดัง ผู้ที่ให้การสนับสนุน Bitcoin และเทคโนโลยี นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุลได้ขึ้นอภิปรายในสภาเมื่อวานนี้ที่ผ่านมาเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลในไทยที่กำลังล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านเนื่องจากกฎหมายในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีในไทย โดยได้แนะนำให้มีการนำเอา regulatory sandbox มาเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับบริษัทในไทย พร้อมเตือนถึงการมาของเหรียญ Libra ของ Facebook ที่จะเปิดใช้ในปีหน้าอีกด้วย
การอภิปรายดังกล่าวนั้นมีขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมาในสภา โดยนายปกรณ์วุฒิชี้ว่าประเทศไทยนั้นมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่สูงมาก โดยจะสังเกตได้จาก platform ส่วนใหญ่ที่มีจำนวนคนไทยใช้ติดอันดับโลก ไม่ว่าจะเป็น LINE, Facebook รวมถึงอีคอมเมิซ ทว่าเขากล่าวต่อว่า
“ทุกแพลทฟอร์มที่เราใช้เป็นแพลทฟอร์มของต่างชาติทั้งหมดนะครับ ถ้านี่คือสงครามนะครับ ผมสรุปได้เลยครับว่าเราใกล้จะแพ้เต็มที่ละ”
เขายังกล่าวว่าสถานะของวงการเทคโนโลยีในไทยนั้น เรากำลัง “ตกเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยีของต่างชาติ” พร้อมชี้ว่า
“ถ้าเราอยากจะผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล แบบที่ระบุไว้ในนโยบายหลักข้อ 5.9 นะครับ ที่พูดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่เนี่ย เราก็ควรจะต้องผลักดันให้เกิดผู้ประกอบการด้านดิจิทัลหรือเรียกว่าสตาร์ทอัพ ซึ่งคำนี้ปรากฎอยู่ในร่างนโยบายฉบับนี้ครับ แต่ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมหรือแปลกใหม่กว่าเดิม”
นอกจากนี้นายปกรณ์วุฒิยังกล่าวอีกว่าสาเหตุที่บริษัทสตาร์ทอัพในไทยไม่เติบโตนั้นเป็นเพราะว่าอุปสรรคด้านกฎหมาย
“ทำไมนักลงทุนต่างชาติถึงไม่มาลงทุนกับสตาร์ทอัพไทยครับ อย่าว่าแต่ต่างชาติเลยครับ ทุนใหญ่ในไทยตั้งกองทุนสตาร์ทอัพไปลงทุนสตาร์ทอัพต่างชาติครับ สาเหตุหลักเลยนะครับคือระบบนิเวศน์ของเราเนี่ย มันไม่เอื้อให้สตาร์ทอัพเติบโต อุปสรรคแรกคือกฎหมายที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีครับ วิธีแก้ที่ได้ผลก็คือการรือกฎหมายที่ล้าสมัย”
ภายหลังจากนั้นเขามองว่าการแก้กฎหมายให้บริษัทชื่อดังอย่าง Grab Taxi และ AirBNB ถูกกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่หยิบยกอีกมุมมองมากล่าวว่าการแก้กฎหมายดังกล่าวนั้นจะช่วยเอื้อเฟื้อให้กับบริษัทต่างชาติมากกว่า
แนะนำใช้ Regulatory Sandbox
นายปกรณ์วุฒิยังได้มีการหยิบยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจก็คือสิ่งที่เรียกว่า regulartory sandbox หรือ “ระบบนิเวศน์สำหรับทดสอบทำผิดกฎหมายชั่วคราวเพื่อดูว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่” พร้อมเท้าความถึงเมื่อสามปีที่ผ่านมาว่ามีกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพทั้งหมดสามบริษัทที่รวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้กฎหมาย โดยทาง ครม. นั้นได้อนุมัติเรื่องดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคมปี 2017 แต่ภายหลังเรื่องก็เงียบไป
“ผมพูดได้เลยว่าที่ผ่านมาเนี่ย เราล้มเหลวเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง” กล่าวโดยนายปกรณ์วุฒิ พร้อมเสริมว่า
“เพราะไม่เช่นนั้นเนี่ย วันนี้เราอาจจะได้เห็นสตาร์ทอัพอย่างเช่น Grab หรือ AirBNB ที่เป็นของคนไทยจริง ๆ ครับ”
ภายหลังจากนั้น เขาได้หยิบยกตัวเลขเปรียบเทียบบริษัทสตาร์ทอัพ 50 อันดับแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนสูงสุดมาเปรียบเทียบ โดยเผยให้เห็นว่าบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติไทยนั้นมีเพียงแค่ 2 รายเท่านั้น ในขณะที่ของสิงคโปร์มี 33 บริษัท และอินโดนีเซียมี 14 บริษัท
กล่าวถึง Blockchain กับ Libra
ภายหลังจากนั้นนายปกรณ์วุฒิได้กล่าวว่าในปีหน้านี้ประเทศไทยเราจะได้เห็นการเปิดการใช้งานจริงของเหรียญ cryptocurrency ที่ทาง Facebook สร้างขึ้นมาซึ่งก็คือ Libra พร้อมกล่าวชมโครงการเหรียญคริปโตของแบงก์ชาติอย่างอินทนนท์อีกด้วย
“ผมยังไม่ได้พูดถึง blockchain นะครับ ปีหน้าเราจะเจอกับ Libra สกุลเงินดิจิทัลของ Facebook เรามีโอกาสที่ดีนะครับ เรามีโครงการอินทนนท์ที่แบงค์ชาติพัฒนาเอาไว้ แต่เราวางแผนในการเตรียมรับมือความเสี่ยงขนาดไหน”
เป็นที่ทราบกันดีในวงการคริปโตว่านายปกรณ์วุฒินั้นเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีคริปโตและ blockchain ตัวยง โดยก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชานามว่า Bitcoin Center Thailand และยังเคยแนะนำให้ภาครัฐนำเอาเทคโนโลยี blockchain มาใช้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสอีกด้วย
ดูเหมือนว่าการอภิปรายของนายปกรณ์วุฒินั้นจะตรงกับความเห็นของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผู้ก่อตั้งเว็บกระดานซื้อขายเหรียญ Bitcoin สัญชาติไทย และอดีต CEO ของบริษัท Garena Thailand นายสกลกรย์ สระกวี โดยก่อนหน้านี้เขาได้แสดงความเห็นในเรื่องของการที่บริษัทสตาร์ทอัพดิจิทัลในไทยกำลังเสียเปรียบบริษัทต่างชาติที่เข้ามาหาผลประโยชน์ในไทยว่า
สำหรับวีดีโอของการอภิปรายแบบเต็ม ๆ สามารถชมได้ด้านล่าง
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น