ธนาคารในอิสราเอลได้ให้ความร่วมมือกับกรมสรรพากรในการปฏิเสธไม่ให้นักเทรดคริปโตฝากเงินกำไรของพวกเขาเข้าไปไว้ในบัญชีธนาคาร
สื่อข่าวอิสราเอล Haaretz รายงานว่ามีนักเทรดเป็นจำนวนมากที่มีภาษีค้างชำระกว่า 86 ล้านดอลลาร์ที่เกิดจากการทำกำไรในคริปโตเคอเรนซี่ที่พอกพูนอย่างมหาศาล จึงทำให้ทางธนาคารไม่รับฝากเงินเพิ่ม
รายงานของ Haaretz ยังเปิดเผยว่า ธนาคารปฏิเสธการฝากเงินที่ได้จากผลกำไรในคริปโตเคอเรนซี่ เพราะพวกเขากังวลว่าเงินพวกนั้นอาจถูกนำมาใช้อย่างผิดกฎหมาย นักเทรดบางรายถูกลอยแพไว้เนื่องจากพวกเขากดถอนเงินเป็นสกุลเงิน Fiat แต่ก็ไม่สามารถเข้าบัญชีธนาคารได้ ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความยั่งยืนของการซื้อขายคริปโตในอิสราเอล
หน่วยงานสรรพากรของอิสราเอลได้ตระหนักถึงสถานการณ์นี้ แต่ระบุว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่พวกเขา แต่เป็นเพราะนโยบายของธนาคารในประเทศ
หน่วยงานสรรพากรของอิสราเอลพิจารณาว่าคริปโตเคอเรนซี่ เป็นสินทรัพย์ที่จะต้องเสียภาษีจากกำไร 25% สำหรับบุคคลธรรมดา และ 47% สำหรับบริษัท ไม่เพียงแต่หน่วยงานสรรพากรเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ค้างชำระ แต่ยังรวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับกิจกรรมคริปโตเคอเรนซี่ เช่น การฟอกเงินหรือกิจกรรมในตลาดมืดอีกด้วย
การตัดสินใจของธนาคารที่จะไม่แตะต้องคริปโตเคอเรนซี่ เกิดจากการเผยแพร่คำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของอิสราเอลเมื่อห้าปีที่แล้ว ซึ่งได้กล่าวเตือนทั้งประชาชนและธนาคารเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของคริปโตเคอเรนซี่ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
นาย Roy Arav นักลงทุน Bitcoin ได้พูดคุยกับ Haaretz เกี่ยวกับปัญหาที่พบได้โดยทั่วไปจากการจ่ายภาษีผ่านทางธนาคารของอิสราเอล เขาได้นำเอกสารการฝากเงินที่ธนาคาร Israel Discount Bank ไปยื่นต่อศาล
Discount Bank ได้ปฏิเสธคำขอในการฝากเงิน เพื่อให้เขาได้โอนเงินกำไรจากบัญชีของโบรคเกอร์ Bit2C ไปยังบัญชีธนาคารส่วนตัวของเขา นโยบายของธนาคารระบุว่าไม่อนุญาตให้มีกิจกรรมใด ๆ ในบัญชีลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี่ เนื่องจากความเสี่ยงของกิจกรรมที่ผิดกฎหมายนั้นธนาคารอาจได้รับผลกระทบไปด้วย
เขารายงานว่าหน่วยงานสรรพากรของอิสราเอลมีความเข้าใจในปัญหาและอนุญาตให้เขาเลื่อนการจ่ายภาษีออกไปก่อนจนกว่าจะมีการยื่นฟ้องคดี อย่างไรก็ตามเขาจะต้องจ่ายดอกเบี้ยย้อนหลังด้วยเช่นกัน
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น