น่าเศร้าใจที่การเติบโตทางด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันกำลังจะนำไปสู่การว่างงานครั้งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของภาคการธนาคารของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าพนักงานประมาณ 200,000 ตำแหน่งในอีก 10 ปีข้างหน้าจะว่างงาน Wells Fargo เปิดเผยในรายงานวิจัยฉบับล่าสุด
การลดปรับลดตำแหน่งงานโดยประมาณนั้นได้สะท้อนถึงความรู้สึกที่แสดงออกโดย Christine Lagarde ซึ่งจะยุติบทบาทของเธอในฐานะหัวหน้ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อไปทำหน้าที่เป็นประธานที่ธนาคารกลางยุโรป
อ้างอิงคำพูดจาก Lagarde ที่กล่าวว่า เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายอำนาจ (DLT) เช่น Bitcoin และ คริปโตเคอเรนซี่ตัวอื่น ๆ คือการ ‘เขย่าระบบ[ธนาคาร]’
ในระหว่างการสัมภาษณ์ของ CNBC นาง Lagarde กล่าวว่า โมเดลธุรกิจที่พัฒนาอย่างรวดเร็วของธนาคารพาณิชย์และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้พื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นมีผลกระทบอย่างชัดเจนต่ออุตสาหกรรมทางการเงิน
“ฉันคิดว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาปฏิรูปวงการธนาคารและการเงินและสิ่งใดก็ตามที่ใช้เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายนี้ ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่าคริปโต , สินทรัพย์สกุลเงินหรืออะไรก็ตาม…สิ่งนี้ได้สะเทือนวงการอย่างเห็นได้ชัด”
เธอยังกล่าวเตือนอีกด้วยว่า :
“เราไม่ต้องการนวัตกรรมที่จะเขย่าวงการมากเกินไป เพราะมันจะทำให้เราต้องสูญเสียเสถียรภาพที่จำเป็น”
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีรายงานว่า บริษัทเงินทุนในสหรัฐใช้เงินกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีในด้านเทคโนโลยีการธนาคาร ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญนาย Mike Mayo นักวิเคราะห์อาวุโสของ Wells Fargo Securities กล่าวว่าค่าชดเชยที่จ่ายให้กับพนักงานกรณีเลิกจ้าง นั่นคิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของต้นทุนค่าใช้จ่ายของธนาคารทั้งหมด
สำหรับรายงานการวิจัยของ Wells Fargo นั้น Bloomberg รายงานว่ามีการตัดงบในส่วนของ ระบบหลังบ้าน , สาขาธนาคาร , ศูนย์บริการข้อมูลและพนักงานองค์กรออกจากงานของพวกเขา ประมาณหนึ่งในห้าถึงหนึ่งในสามของงานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการขายและการให้คำปรึกษา
โดยบริการให้คำปรึกษาทางการเงินดูเหมือนจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
นาย Michael Tang หุ้นส่วนของ Deloitte ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติงานด้านนวัตกรรมการให้บริการทางการเงินระดับโลกกล่าวว่า :
“มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในส่วนของ ศูนย์บริการติดต่อ (contact centers) ทั้งส่วนภายในและภายนอก เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับ chatbots ซึ่งหลายคนได้ทราบบ้างแล้วในส่วนนี้และบางคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังพูดคุยอยู่กับ AI เพราะพวกมันทำหน้าที่เพียงแค่ตอบคำถามเท่านั้น”
บริษัทที่ปรึกษาและผู้บริหารธนาคารหลายแห่ง คาดว่าจะมีการปรับลดตำแหน่งงานที่สำคัญในภาคธนาคาร เนื่องจากการมาของระบบอัตโนมัติ โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัท McKinsey & Co. เชื่อว่าจะมีจำนวนพนักงานที่ทำงานให้กับพนักงานต้อนรับส่วนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบด้วยนายธนาคารและเทรดเดอร์ นอกจากนี้รายงานวิจัยของบริษัท Skill Shif ยังได้วิเคราะห์ผลกระทบในวงกว้างของเทคโนโลยีนี้ที่มีต่ออาชีพงานในปัจจุบัน
ดูเหมือนว่าโซลูชั่นที่เกิดขึ้นใหม่ของบริษัท fintech กำลังได้เปลี่ยนแปลงภาคการธนาคารอย่างรวดเร็ว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศรายงานว่า แพลตฟอร์มการชำระเงินมือถือมีการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นในเอเชียใต้
Over the past 5 years, mobile money has gained traction in South #Asia, where mobile money accounts are growing by 46% per year—the highest across all regions #IMFBlog https://t.co/jrfRLuyTeA pic.twitter.com/PJIV3HitVj
— IMF (@IMFNews) October 5, 2019
โพสต์บล็อกของ IMF ระบุว่า :
“บังคลาเทศ , อินโดนีเซียและปากีสถานเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการเติบโตของ การชำระเงินมือถือเพิ่มสูงขึ้นในเอเชีย บริการทางการเงินบนมือถือเติบโตอย่างรวดเร็วในแอฟริกาใต้สะฮารา เนื่องจากบางประเทศนั้นยังคงขาดการเข้าถึงเทคโนโลยี แอฟริกาใต้สะฮารายังคงเป็นผู้นำในเรื่องจำนวนบัญชีผู้ใช้งานสำหรับการชำระเงินบนมือถือและในบางประเทศมีจำนวนบัญชีการชำระเงินบนมือถือมากกว่าบัญชีธนาคารแล้วในขณะนี้”
การเปิดประกาศตัวสกุลเงิน Libra ของ Facebook ในเดือนมิถุนายน 2019 ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรเจคที่มุ่งเน้นให้บริการทางการเงินที่ทันสมัยแก่ทุกคนที่มีอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนขั้นพื้นฐานและนั่นเป็นเรื่องที่ท้าทายระบบธนาคารแบบดั้งเดิมโดยตรง
อย่างไรก็ตามการยอมรับของแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีพื้นฐานของบล็อกเชนใหม่นั้นได้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ริเริ่มนวัตกรรมที่จำเป็นต้องจัดการกับเรื่องกฎระเบียบในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดริเริ่มของ Libra ที่ได้รับการต่อต้านด้านกฎระเบียบอย่างมากในหลาย ๆ ประเทศ รวมไปถึงบริษัท PayPal ที่เพิ่งได้ประกาศแยกตัวออกจากโปรเจค เนื่องจากความขัดแย้งด้านกฏระเบียบด้วยเช่นเดียวกัน
ที่มา : dailyhodl
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น