<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สงครามระหว่าง Binance กับ BitMEX: ใครจะได้ครอบครองบัลลังก์ตลาดเทรดบน Margin ในท้ายสุด?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

การแข่งขันระหว่างสองเทรดดิ้งแพลคฟอร์มยักษ์ใหญ่ของวงการคริปโต Binance และ BitMEX โดยมองไปที่ปัจจัยด้านเอกลักษณ์ของทั้งสองแพลตฟอร์มและนโยบายการพัฒนา

ก่อนอื่นต้องอธิบายว่าการแข่งขันระหว่าง Binance และ BitMex นั้นไม่ใช่การแข่งขันระหว่างผู้ที่ด้อยกว่ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าแต่มันเป็นการต่อสู้ระหว่างคู่แข่งที่สูสีกันเพื่อหา ‘ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว’

หลักการ “คนเปิดก่อนมักได้เปรียบเสมอ” มักได้ผลในตลาดที่เพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่ ใครที่เป็นคนริเริ่มทำอะไรเป็นคนแรกด้วยนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ มักจะกลายเป็นผู้ครอบครองตลาด ยกตัวอย่างเช่น Google ถึงแม้ว่า Google จะไม่ใช่ Search Engine เจ้าแรกแต่ Google ก็เป็นเจ้าที่นำเอาข้อผิดพลาดของเจ้าก่อนหน้ามาแก้ไขจนทำให้ Google เป็นที่หนึ่งได้ เว็บไซต์อย่าง Amazon ก็เป็นตัวอย่างได้เหมือนกัน

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือบริษัทที่ประสบความสำเร็จจะขยายตัวจนมันสามารถดึงลูกค้าจากเจ้าเล็กอื่นๆ ได้ ทำให้เกิดกรณีที่เจ้าใหม่ที่เล็กกว่าไม่สามารถอยู่รอดในตลาดได้ แต่ตอนนี้สภาพแวดล้อมของตลาดคริปโตยังไม่ขยายใหญ่จนถึงขั้นนั้น หรือก็คือตอนนี้ตลาดคริปโตอยู่ในช่วงที่มีผู้แข่งขันหลายเจ้าพยายามแข่งกันเพื่อเป็นยักษ์ใหญ่ของตลาด

ทั้ง BitMEX และ Binance นั้นต่างก็เป็นเว็บเทรดที่มีนโยบายการพัฒนาในแบบที่ไม่ใช่แค่เพื่อให้อยู่รอดแต่เพื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทั้งสองแพลตฟอร์มต่างมีเอกลักษณ์เป็นของแพลตฟอร์มตัวเอง

BitMEX ครองการเทรด Bitcoin เหนือ Binance และได้รับความนิยมในการเทรดแบบ Propreitary Perpetual Contract (คล้ายกับการเทรด Futures ที่ไม่มีวันหมดอายุ) ในขณะที่ Binance มีชื่อเสียงในด้านการเทรดแบบ Spot Trading (การเทรดแบบแลกเปลี่ยนสินค้ากันเมื่อตกลงกันเลย) และการนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้ลูกค้า ปัจจุบันมีเหรียญคริปโตกว่า 500 ชนิดอยู่ในรายชื่อของ Binance สำนักข่าว AMBcrypto มองว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ Binance ก้าวมาเป็นหนึ่งในผู้นำเทรดดิ้งแพลตฟอร์มได้

Spot v. Derivatives: Binance v. BitMEX

ทั้ง Binance (เน้น Spot Trading) และ BitMEX (เน้น Derivatives Trading) ต่างก็ครองตลาดของตัวเองอย่างเด็ดขาด

เห็นได้จากข้อมูลว่าทั้ง BitMEX และ Binance มียอดทิ้งห่างจากเจ้าอื่นๆ ในตลาด

AMBcrypto สมมุติขึ้นมาว่า “ถ้า Binance ต้องการแย่งกลุ่มลูกค้าจาก BitMEX ล่ะ?” ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร เพราะโลกธุรกิจก็มีแต่การแข่งขันแบบนี้เสมอ

ดังนั้นแล้ว Binance ที่นำโดยนาย Changpeng Zhao ต้องการจะเอาชนะ BitMEX หรือไม่?

ทาง AMBcrypto ได้ไปสัมภาษณ์นาย Bobby Ong จาก CoinGecko เขากล่าวว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับแพลตฟอร์มเน้น Spot Trading ที่จะต้องการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ

“ตลาดของ Spot Trading นั้นมีการแข่งขันสูงและยังเต็มไปด้วยคู่แข่ง สินค้าหรือบริการของทุกคนก็มีความแตกต่างกันน้อย ส่วนในตลาดแบบอนุพันธ์ (deprivative) นั้นมีคู่แข่งน้อย ปัจจัยทั้งหมดนี้บีบให้เทรดดิ้งแพลตฟอร์มหลายเจ้าขยายเข้าสู่ตลาดแบบอนุพันธ์เพื่อรักษากำไรในตลาดที่กำไรกำลังถดถอย เทรดดิ้งแพลตฟอร์มต้องเพิ่มกำไรต่อผู้ใช้ (Average Revenue Per User [ARPU]) ซึ่งพวกเขาจะทำได้ก็ต่อเมื่อสร้างตัวเลือกการเทรดแบบอนุพันธ์ให้แก่ลูกค้า”

BitMEX ทราบทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดของเทรดดิ้งแพลตฟอร์มในระดับหนึ่ง เพราะเมื่อ Binance ประกาศเปิดตัวระบบเทรด Futures เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา BitMEX โพสต์ว่า

โดยเรื่องนี้มีข้อสรุปเมื่อทางนาย Changpeng Zhao ซีอีโอของ Binance ออกมายอมรับว่าแพลตฟอร์ม Futures ของ Binance ลอกเลียนแบบ BitMEX มาและจะมีการแก้ไขตามมาทีหลัง

นอกจากเรื่องการแข่งขันด้านจุดเด่นในตลาดแล้ว ทาง AMBcrypto ยังวิเคราะห์ว่ามีการแข่งขันในการออกนโยบาย Geo-Block (การห้ามผู้ใช้ในบางประเทศใช้งานตามข้อบังคับทางกฎหมาย) ของทั้งสองแพลตฟอร์มอีกด้วย ในปี 2017 BitMEX ประกาศจะทำการ Geo-Block ประเทศบางประเทศทั่วโลกและยังใช้สิทธิ์ในการยึดบัญชีผู้ใช้หากผู้ใช้มาจากประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาติ

Binance ก็มีรูปแบบนโยบายคล้ายกันตามมา ทาง Binance ประกาศทำ Geo-Block ตามกฎหมายเช่นกัน แต่นาย Bobby Ong กล่าวว่าผู้ใช้ยังสามารถใช้ Binance ได้หากเข้าตัวเว็บผ่าน VPN นอกจากนั้นผู้ใช้ที่ไม่ผ่านการ KYC ก็ยังใช้ Binance ได้แต่มีข้อจำกัดถอนเงินอยู่ที่ 2 BTC เท่านั้น

น่าสนใจที่โวลุ่มการเทรดของ Binance ไม่ลดลงเลยหลังการทำ Geo-Block สังเกตได้จากกราฟข้างล่าง

ทั้งๆ ที่ Binance มีลูกค้าจากอเมริกาอยู่ที่ 9-12 เปอร์เซ็น ทางทฤษฎีแล้วการทำ Geo-Block ก็ควรสร้างผลกระทบให้ลูกค้าของ Binance ลดลง แต่กราฟแสดงว่ามันกลับไม่ใช่เช่นนั้น

Source: SimilarWeb

AMBcrypto มองว่าผลดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการที่ Binance ตัดสินใจหาวิธีการรักษาฐานผู้ใช้ไว้แล้วเมื่อทำนโยบายทางกฎหมายอย่าง Geo-Block ดังนั้น Binance จึงคิดวิธีการแก้ปัญหาด้วยการออกทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้ใช้เช่น Bitcoin Futures, Binance US, Binance margin trading, lending, staking และรวมไปถึงการออก stablecoin ของตัวเอง

อาจจะกล่าวได้ว่า Binance ไม่ได้ต้องการเล่นเกมธุรกิจนี้ไปวันๆ แต่ Binance ต้องการจะเป็นที่หนึ่งของวงการนี้

ส่วน BitMEX ก็ค้นพบทางของตัวเองเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าเทรดดิ้งแพลตฟอร์มแบบอนุพันธ์อื่นๆ อย่าง Deribit หรือ Bybits ต้องการจะมาท้าชิงบัลลังก์ของ BitMEX มันก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้เช่นเดิม นาย Bobby Ong เสริมว่า BitMEX มีความสามารถในการพัฒนาไปได้อีกไกลถึงแม้ว่าตอนนี้ทาง BitMEX จะไม่ได้เปิดตัวอัพเดทอะไรใหม่ๆ ก็ตาม

“ในตอนนี้ Bitmex ยังไม่เสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้ลูกค้า แต่มีรายงานว่าพวกเขากำลังวางแผนกันอยู่ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องรีบหน่อยแล้ว เพราะถ้าช้าคู่แข่งอย่าง Deribit อาจจะแย่งลูกค้าพวกเขาไปได้ แต่ตอนนี้ Bitmex ก็ยังเป็ผู้นำของตลาดแบบอนุพันธ์อยู่ ”

นาย Changpeng Zhao ปฎิเสธไม่แสดงความคิดดห็นเกี่ยวประเด็นว่ามี “คู่แข่งและการเมือง” เกิดขึ้นหรือไม่ แต่เขากล่าวว่าทาง Binance มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเพื่อชุมชนคริปโต

Binance กับไอเดียที่ไม่มีวันหมดสิ้น

แพลตฟอร์ม Binance Futures ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเมื่อเปิดตัวตอนแรก มันถึงกับกลายเป็นที่หัวเราะของคนในวงการ แต่หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆ มีโวลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า Binance Future ก้าวขึ้นมาเป็นที่ 6 ของแฟลตฟอร์ม Futures อีก 3 อันดับก็จะแซงคู่แข่งอย่าง BitMEX ได้ 

Source: CoinGecko

และยิ่งไปกว่านั้นนาย Changpeng Zhao โพสต์ข้อมูลเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่แสดงว่าค่าโวลุ่มของ Binance Futures แซงโวลุ่มของ Spot Trading ได้ แสดงให้เห็นว่า Binance นั้นมีแววมากสำหรับเทรดดิ้งแพลตฟอร์มที่ตั้งเป้าจะเป็นที่หนึ่ง AMBcrypto มองว่าปรากฎการณ์นี่เป็นมากกว่าการแข่งขันซะอีกถึงแม้ว่านาย Zhao จะปฎิเสธว่านี่ไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วมันคือโอกาสที่จะได้ก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น