หลังจากที่เมื่อวานที่ผ่านมาทางด้านของประธานาธิบดี Xi Jinping ได้ออกมาเรียกร้องให้ประเทศจีนเร่งเดินหน้าและต้องขึ้นเป็นผู้นำทางด้านของเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสร้างมาตราฐานให้ได้ในระดับโลก อีกทั้งยังได้เน้นย้ำอีกว่าจีนมีรากฐานที่มั่นคงเป็นอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain ให้เติบโตอย่างเป็นระบบที่ดีอยู่แล้ว
ล่าสุดนั้น คณะกรรมาธิการของสภาประชาชนแห่งชาติที่ 13 หรือสภาคองเกรสของจีนได้มีการให้ผ่านร่างกฎหมายคริปโตเคอเรนซี่เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2019 ที่ผ่านมาโดยจะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 มกราคม 2020 ตามที่สื่อท้องถิ่นของจีนได้รายงาน
ปัจจุบันจีนยังคงแบนการเทรดคริปโตเคอเรนซี่อยู่และก็ยังไม่ได้มีการเปิดตัวคริปโตเคอเรนซี่ของตัวเองซึ่งก็คือเงินหยวนแบบดิจิทัลที่รันอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain โดยพวกเขาคาดว่าจะมาเป็นตัวผลักดันให้ประเทศจีนสามารถแข่งขันได้บนตลาด Blockchain ระดับโลก
สำหรับตัวกฎหมายใหม่นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในการใช้ คริปโตเคอเรนซี่ในเชิงพาณิชย์เนื่องจากมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนตามร่างข้อเสนอล่าสุดของกฎหมายก่อนที่จะอนุมัติ
โดยตามข้อเสนอของจีนมีดังนี้
“ทางรัฐจำเป็นที่จะต้องมีแนวทางและกฎระเบียบที่ชัดเจนในการประเมินเทคโนโลยีการเข้ารหัสที่จะใช้ในเชิงพาณิชย์และต้องสามารถใช้เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ เนื่องจากระบบแบบ ‘loose’ ไม่เหมาะสมกับระบบอุตสาหกรรมในปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว”
ทางด้านของสภาแห่งชาติของจีนกล่าวว่ากฎหมายฉบับใหม่จะสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเข้ารหัสเชิงพาณิชย์ในขณะที่สร้างระบบการกำกับดูแลที่ได้มาตรฐานสำหรับตลาดต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้แล้วสภาแห่งชาติของจีนยังได้มีการเผยแพร่ข้อเสนอสำหรับกฎหมายใหม่ในเดือนกรกฎาคมเรียกร้องขอความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อคริปโตเคอเรนซี่อีกด้วย
โดยในข้อเสนอนี้จะรวมไปถึงปัญหาต่าง ๆ มาตรฐานอุตสาหกรรมควรเข้ากันได้กับระบบคริปโตเคอเรนซี่ในระดับสากลอื่น ๆ เพื่อให้ บริษัท ต่างๆ ได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีการใช้งานเชิงพาณิชย์
กฎหมายฉบับใหม่จะสนับสนุนความพยายามด้านการศึกษาทั่วประเทศเช่นการจัดนิทรรศการสาธารณะเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านคริปโตเคอเรนซี่ในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐ บริษัท และกลุ่มทางสังคมต่อไป
สุดท้ายนี้จีนพยายามที่จะรุกหนักในตลาดของคริปโตเคอเรนซี่และเน้นย้ำไปที่เทคโนโลยี Blockchain เป็นอย่างมาก ซึ่งเชื่ออีกไม่นานนี้พวกเขาจะทำการปล่อยเงินหยวนแบบดิจิตัลออกมาหลังจากที่ซุ่มพัฒนามากกว่า 5 ปี และจะเป็นแบบอย่างให้กับชาติอื่น ๆ อีกด้วย
ที่มา : coindesk
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น