การเทรด Bitcoin นั้นจำเป็นที่จะต้องอาศัยวิธีการและกลยุทธ์ในการเทรดเพื่อที่จะได้ทำกำไรได้ในแต่ละช่วง เพราะมิเช่นนั้นจะทำให้เราเทรดเท่าไรก็มีแต่ขาดทุนกันไปทุกที และบทความนี้จะนำเสนอ 4 วิธีกลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดที่เป็นการันตีว่าหากทำตามนี้แล้วนั้นกำไรแน่นอน
1. HODL
การ ‘Hodl’ หรือการถือ BTC เอาไว้นั้นเป็นกลยุทธ์ที่หลาย ๆ คนนิยมใช้ ซึ่งคำว่า Hodl นี้เกิดขึ้นในปี 2013 เป็นช่วงที่ราคา BTC นั้นร่วงแล้วคนก็พิมพ์กันผิด ๆ จาก Hold มาเป็น Hodl ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็ไม่มีอะไรมากคือการเปิด Long แล้วรอราคาขึ้นในระยะยาว
แต่อย่างไรก็ตามอย่างที่รู้กันว่าราคา Bitcoin นั้นผันผวนสูงมากกลยุทธ์นี้อาจทำให้นักเทรดเสียกำไรกันไปได้ เพราะฉะนั้นกลยุทธ์นี้จึงไม่แนะนำหากไม่มีแผนจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ
2. Hedge
หลาย ๆ คนที่ถือ BTC ไว้อยู่บ้างนั้นอาจจะวางแผนป้องกันความเสี่ยงของตนไว้อยู่แล้ว ซึ่งหากคาดว่าราคา Bitcoin นั้นจะร่วงในระยะสั้น ๆ นี้ นักเทรดก็จะเริ่มวางแผนป้องกันความเสี่ยงโดยการ short Bitcoin คือการขาย Bitcoin โดยคาดว่าราคามันจะร่วงลงในระยะเวลาสั้น ๆ นี้แล้วค่อยไปซื้อตอนที่ราคามันร่วงต่ำกว่านั้นเพื่อทำกำไร และถ้าหากว่าราคามันร่วงลงจริง ๆ แล้วคุณได้ซื้อ BTC ตอนนั้นหลังจากนั้นราคามันก็เริ่มพุ่งขึ้น เท่ากับว่าคุณก็ได้กำไร
แต่หากหากคุณเทรด Bitcoin ในสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีหลายเครื่องมือมาก ๆ ที่เอาไว้ใช้ป้องกันความเสี่ยง ซึ่งคุณไม่จำเป็นที่จะต้องมี Bitcoin ก่อนจริง ๆ ถึงจะทำการเทรดได้ ดังนั้นคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขาย Bitcoin จริงเพื่อที่จะทำการเทรด short มันไม่เหมือนกับตลาดเทรด short เดิม ๆ ที่จะต้องมีการยืม Bitcoin มาก่อนเพื่อทำการขาย
3. เทรดตามเทรนด์
การเทรดตามเทรนด์ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งการเทรนด์ราคานั้นก็ดูได้จากจุด Higher High หรือจุด Lower Low กลยุทธ์สามารถใช้ได้ตลอดกาลไม่ว่าจะเทรดระยะสั้นหรือระยะยาว
ดังตัวอย่างภาพด้านล่างนี้จะเป็นการดูเทรนด์ง่าย ๆ คือถ้าราคามันทำจุดสูงสุดสูงกว่าเดิมนั่นหมายความว่ามันกำลังเข้าสู่เทรนด์ขาขึ้น และถ้าหากว่ามันทำจุดสูงสุดต่ำกว่าเดิมนั่นหมายความว่ามันกำลังเข้าสู่เทรนด์ขาลง
การเทรดตามเทรนด์นี้จะต้องอาศัยการวิเคราะห์โมเมนตั้มของราคา ซึ่งอาจจะใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ได้หลายอย่างตามที่ถนัด เช่น เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Average, RSI และ Stochastic Oscillator
4. กลยุทธ์เทรดหลังจากที่ราคาเริ่ม breakout
การเทรดโดยอาศัยกลยุทธ์ Breakout นั้นรวมถึงการเข้าตลาดให้เร็วที่สุดแล้วเตรียมรอราคา Breakout โดยหลักการใช้กลยุทธ์นี้คือการคอยดูราคามัน break ตัวทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญแล้วหลังจากนั้นมันจะเข้าสู่ช่วงผันผวนครั้งใหญ่ ซึ่งนักเทรด Bitcoin ต้องคอยสังเกตตลาดอยู่เสมอว่าราคามัน Breakout ทะลุแนวรับ แนวต้านที่สำคัญหรือยัง
ส่วนการที่จะระบุแนวรับ แนวต้านที่สำคัญได้ก็ต้องใช้เครื่องมือ RSI หรือ MACD และเมื่อสามารถระบุแนวรับ แนวต้านได้แล้วก็จะสามารถเปิดคำสั่งได้ง่ายขึ้น สมมติว่าราคา Bitcoin ตอนนี้เทรดกันแถว ๆ ช่วง $11,000 และ $11,050
การวิเคราะห์โดยอาศัยเทคนิคนี้คือถ้าหากมันเริ่มเคลื่อนผ่าน $11,050 มันจะเริ่ม Breakout แล้วมุ่งเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น ซึ่งในตอนนั้นคุณก็เริ่มเปิด Long CFD หากราคามันเริ่มไปแตะ $11,051 และถ้าหากราคา Bitcoin นั้นทะยานไปที่ระดับราคานี้จริง ๆ คำสั่งที่คุณเปิดไว้ก่อนจะถูกดำเนินการเสร็จสิ้น ซึ่งคุณก็เทรดตามเทรนด์ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีสัญญาณทางเทคนิคบอกว่าราคามันกำลังกลับตัว
อย่างไรก็ตามหากราคามันไม่ไปแตะที่ $11,051 จริง คำสั่งคุณก็จะไม่ถูกดำเนินการ
ทริคเทรด Bitcoin ที่ต้องรู้ก่อนลงมือเทรดจริง
1. เข้าใจตลาด Bitcoin
ตลาด Bitcoin นั้นขึ้นชื่อว่ามีความผันผวนสูง ซึ่งคุณจะต้องเข้าใจมันก่อนลงมือลงทุน ซึ่งมันก็จะมีปัจจัยหลัก ๆ ที่ส่งผลต่อราคาคือ
- Supply: เนื่องจาก Bitcoin มี Supply สูงสุดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ แต่ไม่ใช่ว่าเหรียญทั้งหมดนั้นจะเทรดได้ เหรียญใหม่ ๆ จะถูกสร้างขึ้นโดยการขุด โดยอัตราการสร้างมันจะลดลงเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับการ Halving
- ข่าว: มุมมองของสาธารณชนต่อ Bitcoin นั้นก็เป็นสิ่งสำคัญต่อราคา หากข่าวมันเป็นไปในแง่ลบมันก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าตลาด
- เหตุการณ์: การเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมาย, การแฮ้กต่าง ๆ หรือเศรษฐกิจโลกก็ส่งผลต่อราคา Bitcoin เช่นกัน
2. เลือกว่าจะเทรดอย่างไร
เมื่อเลือกว่าจะเทรด Bitcoin แล้วก็ต้องเลือกเว็บเทรดที่เราจะทำการเทรดด้วย อีกทั้งต้องเลือกว่าจะเก็บเหรียญไว้ที่ใดซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญ หลัก ๆ ก็คือจะต้องเลือกกระดานเทรดที่น่าเชื่อถือและมีระบบการเก็บรักษาเหรียญที่ปลอดภัย
แต่หากเลือกเทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีวอลเล็ทดิจิทัลใด ๆ เพราะคุณทำเพียงแค่เก็งกำไรราคา Bitcoin และไม่จำเป็นที่จะต้องถือ Bitcoin จริง ๆ ถึงจะทำได้ แค่เปิดบัญชีกับเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้บริการสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก็เพียงพอแล้ว
3. สร้างแพลนการเทรด
นอกเหนือจากนั้นแล้วคุณจะต้องมีการแผนการเทรดของตนเองเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ต้องตั้งเป้าหมายการเทรดเอาไว้ มีสไตล์การเทรดอย่างไร และรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
4. จัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการเทรดตลาดที่มีความผันผวนสูง ซึ่งมันก็คือการตั้ง Stop และ Limit ในการเทรดนั่นเอง
การตั้งคำสั่ง Limit-close คือมันจะมีการปิดคำสั่งของคุณเมื่อตลาดมันเคลื่อนที่ยังจำนวนที่คุณระบุเอาไว้ทำให้คุณสามารถล็อกกำไรไว้ได้ ส่วนคำสั่ง stop-loss นั้นมันจะเป็นการปิดคำสั่งของคุณโดยอัตโนมัติหากคำสั่งมันเคลื่อนที่ไปในทางตรงข้ามทำให้คุณสามารถจัดการกับความเสี่ยงที่คุณรับมือได้
ส่วนถ้าหากคุณเทรดสัญญาซื้อขรยร่วงหน้าคุณก็สามารถสร้างคำสั่ง stop ได้เช่นกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคามันร่วง
ที่มา: ig.com
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น