บางส่วนจากการประชุมของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านคริปโตและเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเหล่าผู้บริหารของบริษัทในเครือ Mastermind อย่าง The Oracles นั้นได้มีการกล่าวแสดงความเห็นถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงไม่กี่ปีที่จะถึงนี้
ความคิดเห็นดังกล่าวของพวกเขานั้นยังได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่ออย่าง The Entrepreneur โดยมีใจความสำคัญถึงแนวความคิดที่ว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้จะเติบโตได้ดีในระยะยาวเนื่องจากปัจจัยที่เป็นพื้นฐานสำคัญของสกุลเงินคริปโตในการเติบโตอย่างความนิยมในตัวสินทรัพย์ การใช้งานอย่างแพร่หลาย และความมั่นคงของตลาดนั่นเอง
นาย Judd Rosenblatt ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัท AE Studio ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์และการดำเนินการให้คำปรึกษาทางด้านข้อมูล ได้กล่าวแสดงความเห็นต่อวงการคริปโตไว้ดังนี้
“พวกเรานั้นรู้สึกประทับใจกับการพัฒนาและนวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการนี้อยู่ตลอดเวลาเทคโนโลยี Blockchain นั้นกำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว อีกทั้งยังมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย ดังนั้นแล้วสินทรัพย์คริปโตจึงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็เป็นตัวเลือกที่เยี่ยมยอดเมื่อมองในระยะยาว”
ผู้บริหารรายอื่นๆ อย่างนาย Lorenzo Pellegrino ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัท Skrill บริษัท NETELLER และบริษัท Income Access at Paysafe นั้นยังได้กล่าวถึงตลาดคริปโตว่าท่ามกลางช่วงขาลงของตลาดนั้น การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายและตลาดต่างๆ สำหรับสินทรัพย์คริปโตนั้นยังคงเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเหรียญหลักอย่าง Bitcoin ซึ่งเป็นเจ้าตลาดโดยมีระบบนิเวศของตัวสินทรัพย์คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
ทางนาย Dan Schatt ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัท Cred นั้นยังได้ออกมาชี้ให้เห็นว่าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2008 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฝากเงินของประชาชนธรรมดามากมายนั้น ได้ก่อให้เกิดการดำเนินธุรกรรมรูปแบบใหม่อย่าง Bitcoin ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยตัวเขาได้กล่าวไว้บางส่วนว่า
“เหรียญ Bitcoin นั้นได้ถูกสื่อต่างๆกล่าวว่าเหรียญนั้นได้ตายไปแล้วกว่า 378 ครั้ง โดยกว่า 40 ครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงปีนี้ แต่ Bitcoin นั้นก็ไม่ได้ตายหายไปจากตลาดแต่อย่างใด เนื่องจากตัวมันเองนั้นยังมีความน่าเชื่อถือมากกว่าสกุลเงินของรัฐบาลหลายๆ สกุลเสียอีก นอกจากนี้ยังรวมถึงปัจจัยที่เหรียญดังกล่าวนั้นไม่ต้องอาศัยตัวกลางทางการเงิน ที่ในปัจจุบันนั้นยังคงพบปัญหาสถาบันการเงินที่ล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นแล้วปัจจัยดังกล่าวจึงมีความสำคัญต่อเหรียญดังกล่าวพอสมควรนั่นเอง”
นาย Johann Polecsak ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของทางบริษัทแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยี Blockchain อย่าง QAN ได้กล่าวถึงการที่เทคโนโลยีและเหรียญคริปโตนั้นจะถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางนั้นจะเริ่มต้นต่อเมื่อเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาช่วงพัฒนาการดำเนินการของธุรกิจต่างๆ ซึ่งเป็นการดึงดูดและสร้างแนวปฏิบัติให้แก่วงการธุรกิจ โดยได้มีใจความบางส่วนดังนี้
“ในช่วงเริ่มแรกที่อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทนั้น ธุรกิจทั้งหลายนั้นต่างได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปปรับใช้กับการดำเนินการในขณะนั้นเพื่อที่จะตอบสนองต่อเหล่าผู้ใช้งานให้สามารถที่จะเข้าถึงเนื้อหาสินค้าของธุรกิจนั้นๆ ได้มากขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวนั้นกำลังเกิดขึ้นกับสกุลเงินคริปโตในขณะนี้ โดยปัจจุบันเรายังขาดแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ภาคธุรกิจสามารถที่จะเข้าใช้ประโยชน์รวมทั้งยังสามารถดำเนินการในระดับโลกได้”
นอกจากนี้นาย Alex Althausen ผู้บริหารของบริษัท StormGain ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Exchange นั้นยังได้กล่าวเปรียบเทียบวงการคริปโตกับตลาดหุ้นโดยยกตัวอย่างถึงหุ้นของบริษัท Amazon ในช่วงปี 1997 ซึ่งได้เคยมีมูลค่าอยู่ที่ 300 ดอลลาร์ต่อหุ้นนั้นกลับร่วงลงเหลือแค่ 6 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจดอทคอมในช่วงต้นของทศวรรษแรก ซึ่งเมื่อพิจารณาในขณะนี้แล้วหุ้นดังกล่าวนั้นมีมูลค่าปัจจุบันสูงถึง 1,789 ดอลลาร์ต่อหุ้นเลยทีเดียว
นาย Alex Althausen นั้นยังได้กล่าวถึงกรณีของ Bitcoin เปรียบเทียบกันว่าเหรียญดังกล่าวนั้นได้มีราคาขึ้นลงหลังจากช่วงที่ได้ขึ้นไปแต่จุดสูงสุดตลอดกาลในช่วงปี 2017 ว่าเป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นกับหุ้นของ Amazon โดยเขายังได้กล่าวบางส่วนไว้ดังนี้
“คำแนะนำของผมคือให้ทุกคนจับตาดูการ Halving ที่กำลังจะมาถึงในช่วงปี 2020 นี้ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงปริมาณเหรียญในระบบรวมทั้งการดำเนินการต่างๆ ในตลาดอีกด้วย”
ผู้เชี่ยวชาญคนสุดท้ายจากกลุ่มการประชุมดังกล่าวอย่างนาย Tim Draper ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่แสดงการสนับสนุน Bitcoin มาอย่างยาวนานนั้นยังคงยืนหยัดกับการคาดการการณ์ที่กล่าวว่าเหรียญ Bitcoin นั้นจะถูกซื้อขายกันที่ราคาสูงถึง 250,000 ดอลลาร์ได้ในช่วงปี 2022 หรือต้นปี 2023 นั่นเอง ซึ่งแตกต่างจากอดีตนักลงทุนอย่าง Tone Vays ที่ได้แย้งกับความคิดของนาย Draper ว่าการคาดการการณ์ของเขานั้นเป็นไปไม่ได้อีกด้วย โดยนาย Draper ได้กล่าวบางส่วนไว้ดังนี้
“ในอีกหนึ่งปีที่จะถึงนี้ เราทั้งหลายไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารในอัตรากว่า 2.5% ถึง 4% ทุกๆ ครั้งที่เราใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เนื่องจาก Bitcoin นั้นจะเข้ามาเป็นคำตอบสำหรับปัญหารการดำเนินธุรกรรมแบบดังกล่าวนั้นเอง”
ที่มา : Dailyhodl
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น