<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

CSO บริษัทด้านคริปโตชื่อดังกล่าว การ Halving จะไม่ทำให้ราคา Bitcoin พุ่งเพราะตราสารฯที่เพิ่มขึ้น

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในปี 2020 ข้างหน้า ชุมชนคริปโตมากมายต่างก็จับจ้องที่เหตุการณ์ Halving ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณเดือนพฤษภาคมทั้งนั้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีการ Halving เกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน เทรนด์ราคาของ Bitcoin ก็จะค่อย ๆ ขยับเป็นขาขึ้นเรื่อย ๆ จนไปทำ All-time High หรือจุดสูงสุดอยู่เสมอ

แน่นอนว่า เมื่อ Bitcoin ทะยานแล้วเหรียญ Altcoins อื่น ๆ ในตลาดคริปโตก็มักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน สังเกตได้จากปี 2017 ที่เมื่อตลาดกระทิงมาถึงเหรียญมากมายก็ทำ All-Time High กันเต็มไปหมด

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนความหวังว่าการ Halving จะเข้ามากอบกู้สภาพตลาดคริปโตนั้นอาจจะไม่เป็นแบบนั้นเสมอไปเพราะ ล่าสุดอ้างอิงจาก นาง Meltem Demirors หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ CoinShares ได้เผยว่า การที่ตลาดอนุพันธ์ของ Bitcoin มีมากขึ้นนั้นจะทำให้ราคาของสินทรัพย์นั้นมีความสำคัญน้อยลง ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ Halving ก็ตาม

ตามหลักการแล้ว การ Halving ที่กำลังจะมาถึงในปี 2020 จะทำให้นักขุด Bitcoin ได้รางวัลจากการขุดน้อยลงอีก 50 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อมีจำนวน Bitcoin ถูกปล่อยออกมาในตลาดน้อยลง (Supply) ในขณะที่มีความต้องการของมันเท่าเดิม หรือมากขึ้น (Demand) ก็เป็นเรื่องปกติที่ราคาของ Bitcoin นั้นจะเพิ่มขึ้น

นาง Demirors ได้เผยว่า มีความเป็นไปได้อยู่แน่นอนที่ ราคาของ Bitcoin จะไม่ทะยานขึ้นหลังจากการ Halving

เขาได้อธิบายว่า การ Halving รอบนี้นั้นไม่เหมือนกับรอบก่อน ๆ เนื่องจากตอนนี้ตลาดพัฒนาไปมากกว่าช่วง Halving รอบล่าสุดมาก ๆ

ในตอนนี้ ตลาด Bitcoin นั้นมีอนุพันธ์มากมายเต็มไปหมดให้นักลงทุนได้เลือกสรร ซึ่งนักลงทุนระดับสถาบันก็จะเลือกเข้าไปลงทุนในตรงนั้นแทน ไม่ได้ลงทุนกับตลาดโดยตรง

อ้างอิงจากข้อมูลของเธอแล้ว บริษัทส่วนใหญ่นั้นมักจะเก็งราคาของ Bitcoin จากอนุพันธ์ต่าง ๆ มากกว่าการลงทุนโดยตรง

ราคาของ Bitcoin อาจจะกำลังมีความสัมพันธ์กับ Supply และ Demand น้อยลง

นาง Demirors ได้อธิบายใน Twitter เกี่ยวกับ Bitcoin ว่า:

“ในตอนนี้ มีตลาดใหม่กำลังเกิดขึ้นกับ Bitcoin นั่นก็คือตลาดเก็งกำไรการเทรดผ่านอนุพันธ์ต่าง ๆ นั่นเอง”

เธอได้อธิบายว่า ตอนนี้ Bitcoin เริ่มเข้าใกล้การเป็น ‘สินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้’ มากเข้าไปเรื่อย ๆ แล้ว ยิ่งราคาของมันมีความสัมพันธ์กับ Supply และ Demand มากเท่าไร ก็ยิ่งลงทุนได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

“มันเริ่มกลายเป็นสินทรัพย์อีกชนิดหนึ่งในวงการการเก็งกำไรระดับโลก มันถูกทำให้สามารถลงทุนได้ และมันก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับตลาดขนาดมหภาคมากขึ้น”

นาง Demirors ได้เชื่อว่า สิ่งที่กำลังเกิดกับตลาด Bitcoin นั้นก็เหมือนกับที่เกิดกับตลาดน้ำมัน ว่า การที่มีตลาด Futures ของน้ำมันเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้ตลาดน้ำมันมีความสัมพันธ์กับ Supply และ Demand ของมันน้อยลง

“บริษัทส่วนใหญ่ที่เก็งกำไรราคาน้ำมันล้วนเทรดบนสัญญาทั้งนั้น ตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไร”

เมื่อสินทรัพย์นั้นถูกเทรดบนสัญญา ทำให้ไม่มีเงินจริง ๆ ไหลเข้ามาในตลาด จนทำให้ Supply และ Demand ของสินทรัพย์นั้นมีความหมายน้อยลงนั่นเอง

ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เธอเชื่อว่า Bitcoin นั้นมีศักยภาพที่จะถูกแปลงให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ และมีสัมพันธ์กับตลาดมหภาคแน่นอน

อย่างไรก็ตามตลาดอนุพันธ์ของ Bitcoin นั้นยังถือว่าขนาดเล็กมาก ๆ ถ้าเทียบกับสินทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่า การ Halving ของ Bitcoin ในปีหน้านั้นจะยังมีผลทำให้ตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้นเหมือนรอบก่อน ๆ หรือไม่ แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้น นักขุด Bitcoin ต้องเจอปัญหาหนักอย่างแน่นอน เพราะขุดไม่คุ้มทุนอีกต่อไป และอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อระบบนิเวศน์ของ Bitcoin ได้เลย หากนักขุด Bitcoin ทยอยเลิกขุดกันมาก เพราะพวกเขาก็เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังหลักของเครือข่าย Bitcoin

อ้างอิงจาก CoinMarketCap ในขณะที่รายงานอยู่นี้ Bitcoin มีมูลค่าอยู่ที่ 7,318 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.21 เปอร์เซ็นต์ และมีปริมาณการเทรดโดยรวมอยู่ที่ 23,203 ล้านดอลลาร์ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา Bitcoin มีมูลค่าโดยรวมที่ 132,646 ล้านดอลลาร์

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น