หลังจากที่หลาย ๆ คนรอคอยการมาของเหรียญ Cryptocurrency ของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าจะถูกพัฒนาไปในทิศทางไหนแล้วนั้น ล่าสุดพวกเขาก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการพัฒนาล่าสุดของเหรียญ ‘อินทนนท์’ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับคนไทยพอสมควร
โดยอ้างอิงจากการประกาศจากเว็บของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ได้มีการเผยถึงการร่วมกันทดสอบเหรียญ cryptocurrency ของแบงก์ชาตินามว่า อินทนนท์ กับเหรียญคริปโตของธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ที่มีชื่อว่า LionRock
รายงานเผยว่าการพัฒนาและทดลองเหรียญดังกล่าวนั้นมีมาตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2562 “โดย HKMA และ ธปท. ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้าน Fintech ระหว่างกัน โครงการดังกล่าวมีธนาคารพาณิชย์อีก 10 แห่งมาร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบต้นแบบโดยใช้ DLT” โดยเทคโนโลยี DLT นั้นก็คือ Decentralized Ledger Technology ที่มที Blockchain เป็นหนึ่งในนั้นนั่นเอง
ที่น่าสนใจก็คือ พวกเขาได้เผยถึงผลการทดสอบโอนเหรียญดังกล่าวไปมาหากันระหว่างไทย-ฮ่องกง โดยมีใจความว่า
“ผลการศึกษาครอบคลุมประเด็นหลัก ๆ คือ การโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินแบบ real time การทำธุรกรรมเงินตราระหว่างประเทศ การบริหารสภาพคล่อง และการกำกับดูแล”
เมื่อผลดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจนั้น ส่งผลทำให้ทางธนาคารทั้งสองต้องการที่จะพัฒนาเหรียญคริปโตของพวกเขาต่อไปอีก โดยรายงานนั้นเผยต่ออีกว่า
“จากประโยชน์ที่ได้รับทำให้ HKMA และ ธปท. มีแผนที่จะร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการต่อยอดโครงการ Inthanon-LionRock ในรูปแบบต่าง ๆ ต่อไปอีก อาทิ การขยายขอบเขตเพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ หรือเพิ่มผู้เล่นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินระหว่างประเทศ”
นาย Edmond Lau รองผู้ว่าการ HKMA กล่าวว่า
“การดำเนินการร่วมกันกับ ธปท. เป็นก้าวที่สำคัญในการแก้ปัญหา (pain points) ของการทำธุรกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศในปัจจุบันที่มีประสิทธิภาพต่ำและต้นทุนสูง การใช้เทคโนโลยี blockchain ไม่เพียงแต่ช่วยให้มีวิธีการใหม่ในการจัดการปัญหาในเชิงปฏิบัติแต่ยังเป็นผลการศึกษาในเรื่อง CBDC ที่ให้ธนาคารกลางอื่น ๆ ใช้อ้างอิงต่อไป”
ก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าทางแบงก์ชาติไทยและฮ่องกงได้เริ่มทดสอบโครงการดังกล่าวด้วยกัน และจะเปิดเผยผลการทดสอบในช่วงต้นปีพ.ศ. 2563 ซึ่งก็คือตอนนี้พอดี
เมื่อธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศนั้นเริ่มที่จะให้ความสนใจในเทคโนโลยี Blockchain และ cryptocurrency กันมากขึ้นนั้น ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวคงจะไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นผู้ใช้งาน หรือประชาชนนั่นเอง ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าในระยะยาวนั้นเราจะได้เห็นการนำเอาเหรียญอินทนนท์มาใช้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ ได้หรือไม่
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น