เป็นที่รู้กันในวงการอย่างกว้างขวางถึงกลลวงและการต้มตุ๋นซึ่งเกิดขึ้นในวงการคริปโตหลายครั้ง โดยเป็นการใช้โครงการเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตซึ่งให้ผลตอบแทนในปริมาณมากเป็นเหยื่อล่อให้เหล่านักลงทุนติดกับและต้องเสียเงินให้กับกลลวงเหล่านี้ โดยล่าสุดนั้นได้ปรากฎโครงการในชื่อ “Bitcoin Era” ซึ่งได้มีการโปรโมทผ่านแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียอย่างหนักหน่วง อีกทั้งยังได้มีการกล่าวพาดพิงถึงคนดังต่างๆมากมายอีกด้วย อ้างอิงจาก Business Insider
โครงการดังกล่าวนั้นในช่วงแรกเริ่มได้มีการโฆษณาผ่านทางแพลตฟอร์มของ YouTube ในรูปแบบของบทความข่าวสารซึ่งได้จับประเด็นการเลื่อนฉายภาคล่าสุดของหนังชื่อดังอย่าง James Bond : No time to die มาเป็นประเด็นว่าหนังดังกล่าวอาจเป็นภาคสุดท้ายของเรื่องแล้วก็เป็นได้ ซึ่งการพาดหัวดังกล่าวได้รับความนใจอย่างมากจากผู้ชมแพลตฟอร์ม
อย่างไรก็ตามในบทความดังกล่าวนั้นได้ปรากฎการโฆษณาซึ่งผู้อ่านสามารถเห็นได้ชัดเจนโดยมีการพาดหัวว่าเป็นรายงานพิเศษถึงกรณีที่ผู้ใช้งานชาวอังกฤษหลายรายกอบโกยรายได้กว่าหลายล้านหลังได้รับคำแนะนำจาก Daniel Craig ซึ่งเป็นนักแสดงนำในเรื่องดังกล่าว ซึ่งรายงานพิเศษดังกล่าวเองนั้นเป็นการเปิดเผยถึงการโฆษณาของแพลตฟอร์ม “Bitcoin Era”
เช่นเดียวกับโครงการต้มตุ๋นนักลงทุนอื่นๆ “Bitcoin Era” นั้นได้มีการกล่าวถึงโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนอย่างมากจากการใช้งานแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งร้ายไปกว่านั้นแล้วทางโครงการยังได้มีการกล่าวอ้างอิงถึงผู้มีอิทธิพลในวงการธุรกิจและเทคโนโลยีอย่าง Elon Musk, Richard Branson, และ Bill Gates ว่าพวกเขานั้นได้ร่วมสร้างนำเสนอเครื่องมือในการช่วยซื้อขายสกุลเงินคริปโตเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างรายได้ที่มากขึ้นได้นั่นเอง
นอกจากนี้แล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมาทางสื่ออย่าง Crypto News Protal ยังได้มีการเผยแพร่บทความรีวิวเครื่องมือในการช่วยซื้อขายสกุลเงินคริปโตดังกล่าวออกมา โดยในบนความดังกล่าวนั้นมีลักษณะเป็นการอวย Bitcoin Era อย่างเปิดเผย อีกทั้งยังได้มีการยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและมีการทดสอบการใช้งานเครื่องมือดังกล่าวว่าเป็นเครื่องมือในการช่วยลงทุนที่ดีที่สุดในวงการอีกด้วย
อีกทั้งยังมีการกล่าวว่า “Bitcoin Era” นั้นได้รับการกล่าวถึงมากมายในโฆษณาต่างๆ รวมทั้งการใช้งานโดยผู้มีชื่อเสียงอื่นๆอย่าง Richard Branson และ Gordon Ramsay ซึ่งกรณีดังกล่าวก็ไม่ได้มีหลักฐานยืนยันเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นตลกร้ายที่มากไปกว่านั้นคือการที่ทางบนความดังกล่าวนั้นได้เปิดให้มีการถามตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับบทความ ซึ่งหนึ่งในคำถามนั้นได้กล่าวถึงความปลอดภัยในการใช้งานเครื่องมือดังกล่าว ซึ่งทางผู้เขียนก็ได้ออกมากล่าวชัดเจนว่าเครื่องมือดังกล่าวนั้นมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย 100%
ดังนั้นแล้วแม้ว่าทาง YouTube จะได้ดำเนินการลบโฆษณาต้นทางออกไปแล้วก็ตามแต่บนความดังกล่าวก็ได้มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้เหล่านักลงทุนซึ่งค้นคว้าไม่มากพอตกเป็นเหยื่อของกลลวงดังกล่าวได้ ซึ่งการต้มตุ๋นในลักษณะนี้เคยได้เกิดขึ้นและสร้างความเสียหายให้กับเหล่านักลงทุนไปแล้วมากถึง 260,000 ดอลลาร์หรือกว่าเกือบสิบล้านบาทนั่นเอง
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น