นาย Ryan Selkis ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งของบริษัการวิจัยทางด้านคริปโตอย่าง Messari นั้นได้ออกมากล่าวถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสกุลเงินขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดคริปโตอย่าง Bitcoin โดยได้ทำการมุ่งเป้าไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินดังกล่าวและสกุลเงินธรรมดาอย่างสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายการเงินของประเทศสหรัฐฯเอง
ตัวเขานั้นกล่าวเชื่อมโยงถึงนโยบายการพิมพ์เงินเพิ่มของประเทศสหรัฐฯและทำการอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรงนั้นจะส่งผลร้ายอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังจะเป็นลดค่าเงินดอลลาร์ต่อค่าเงินของประเทศอื่นๆอีกอย่างมาก ส่งผลให้ความนิยมในการถือสกุลเงินดังกล่าวเพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองของนานาประเทศนั้นลดลงอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลับจะส่งผลดีต่อคู่ซื้อขายสกุลเงินคริปโตอย่าง Bitcoin ซึ่งจะดันราคาเหรียญดังกล่าวให้พุ่งขึ้นไปอย่างมาก ซึ่งอาจขึ้นไปแตะระดับที่ 250,000 ดอลลาร์พร้อมๆกับที่เกิดสภาวะเงินเฟ้ออย่างมากขึ้นในประเทศสหรัฐฯนั่นเอง
อย่างไรก็ตามผู้บริหารของบริษัท Shapeshift ซึ่งดำเนินการสร้างระบบสภาพแวดล้อมทางคริปโตสำหรับการดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญอย่างนาย Erik Voorhees ได้ออกมาเกทับการวิเคาะห์ข้างต้น โดยตัวเขานั้นได้กล่าวว่าแม้จะไม่มีการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ แต่เหรียญ Bitcoin นั้นก็จะมีราคาสูงขึ้นอยู่ดี ซึ่งไม่ใช่แต่หลักแสนเท่านั้น แต่จะขึ้นไปอยู่ในระดับที่ 2.5 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญได้เลยทีเดียว
ทางนาย Brendan Blumer ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทเบื้องหลังโปแกรม EOS.IO อย่างบริษัท Block.one team นั้นได้ออกมาแสดงความเห็นถึงแนวการวิเคราะห์ทั้งสองว่าพวกเขานั้นคิดถึงตัวแปรต่างๆมากเกิดไป ซึ่งสิ่งเดียวที่จะเป็นตัวพิสูจน์และผลักดันให้เหรียญดังกล่าวนั้นมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นอย่างมากได้คือเวลาอย่างเดียวเท่านั้น
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น