หนึ่งในสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของระบบนิเวศทางการเงินของเหรียญ Ethereum คือระบบการกระจายอำนาจ decentralized finance (DeFi) ที่กำลังถูกจับตามองเป็นอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากมีการ Hack เกิดขึ้นถึง 2 ครั้งด้วยวิธีการเดิมที่เคยถูกใช้ในการขโมยเหรียญมาก่อนจาก 2 แพลตฟอร์ม DeFi
โดยเรื่องราวนั้นเริ่มเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วเมื่อมูลค่า Ether และ imBTC ประมาณ 300,000 ดอลลาร์ถูกกว้านซื้อจากตลาด Uniswap (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันไม่ได้เกิดจากข้อผิดพลาดในโปรโตคอลของ Uniswap)
การแฮ็กนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับการโจมตีอีกครั้งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าครั้งแรกอีกหลายเท่า ภายในเวลาเพียงประมาณ 24 ชั่วโมงต่อมา Lendf.me ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมแบบกระจายอำนาจ (decentralized lending platform) ได้มีการสูญเสียเงิน cryptocurrencies มูลค่าถึง 25 ล้านดอลลาร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Ethereum และ Tether แทบทั้งสิ้นจากแพลตฟอร์ม
โชคยังดีที่ว่าเรื่องราวดังกล่าวจบลงด้วยดีเมื่อเงินถูกส่งคืนโดยแฮ็คเกอร์หลังจากที่เขารายงานว่า “ ถูกขโมยโดยเขาเอง” แต่คำถามต่อมาก็คือเรื่องของข้อกังขาใน DeFi ที่ดูจะก่อตัวขึ้นอยู่มากมายแล้วในตอนนี้
Ethereum Defi เป็นขยะ กล่าวโดยวาฬใน Bitfinex
Joe007 – “ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นวาฬ” ของ Bitcoin ที่ทำกำไรหลายสิบล้านดอลลาร์ตามข้อมูล Bitfinex อย่างเป็นทางการ โดยตัวเขาเองนั้นไม่มีความสุขกับการใช้งานแพลตฟอร์ม DeFi มากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการแฮ็กดังกล่าวยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลเข้าไปอีก
ในทวีตล่าสุดเขาได้ออกมาสาดเสียเทเสียว่าการใช้ Ethereum รุ่นนี้ควรถูกเรียกว่า“ เครื่อง Rube Goldberg ที่คุณจะไม่รู้เลยว่าส่วนไหนของมันล้มเหลวหรือจะถูกแฮ็กอีกทีเมื่อไหร่ต่อไป”
และดูเหมือนจะยังไม่จบง่าย ๆ เมื่อ J0e007 ได้อธิบายในภายหลังว่าจากวิธีการที่เขาเห็นมันนั้น DeFi เป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่ใช้บุกเบิกทางด้านการตลาดโดยผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือ Ethereum ซึ่งเขาเรียกมันว่าเป็นเหมือนกับโปรโตคอลที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริงโดยมีการใช้งานได้จริงกับโลกของเราเป็น 0 เลยทีเดียว
“ DeFi ไม่ได้เป็นเพียงแค่การตลาดอีกรูปแบบหนึ่งโดยกลุ่มนักสร้างเหรียญที่อยู่เบื้องหลัง Ethereum เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังพยายามสร้างความบ้าคลั่งแบบ ICO อื่น ๆ ด้วยเจ้าตัวนี้ซึ่งอันที่จริงมันมีค่าเป็น 0 ตัวในโลกแห่งความเป็นจริง”
มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้ที่อ้างว่า “ใช้งานผิดพลาดเอง” ของ Ethereum นั้นก็คือการกระจายอำนาจทางการเงินหรือการสร้างแบรนด์ทางการเงินแบบ on-chain ซึ่งสำคัญต่อโลกที่มีการกระจายอำนาจ
ยังคงมีความเสี่ยง
แม้ว่าจะโดนแหกอย่างต่อเนื่องสำหรับ DeFi โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการถูกแฮ็กเหมือนที่เพิ่งเกิดขึ้นยิ่งทำให้หลายคนยืนยันว่าส่วนย่อยของอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี่ยังคงมีความเสี่ยงไม่น้อยเลยทีเดียว
นาย Adam Cochran – หุ้นส่วนของ Metacartel Ventures และศาสตราจารย์ด้านวิทยาการสารสนเทศที่ Conestoga College – ในสัปดาห์นี้ได้มีเปิดเผยบน Twitter ที่มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับการที่ DeFi, DAI stabilcoin ซึ่งมีอยู่ 3 จุดด้วยกัน
- เนื่องจากความจริงที่ว่าโปรโตคอล DeFi ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Compound , Fulcrum, , SET, Uniswap, Aave หรือสิ่งคุณมี – ทั้งหมดนั้นถูกสร้างขึ้นบน DAI ซึ่งมีจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียวเพราะถ้า DAI หยุดทำงาน DeFi ที่เหลือและ Ethereum ที่เหลืออยู่ก็จะหยุดทำงานเช่นกันเช่นกัน
- MakerDAO เรือธงของ Decentralized finance แต่มันก็เป็นระบบกระจายอำนาจที่ไม่ได้กระจายอำนาจอย่างแท้จริง โดยเขาได้อธิบายว่าเนื่องจากมีหน่วยงานส่วนกลางจำนวนมากที่สามารถควบคุมโปรโตคอล DeFi พวกเขาจึงแสดง“ความเสี่ยงจากมือที่มองไม่เห็นได้ในระบบนิเวศของ DeFi ทั้งหมด
- และสุดท้าย: พื้นฐานของ DAI นั้นกำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจาก cryptocurrencies ที่มี“ ความผันผวนอย่างมากและอาจล้มเหลวได้อีกด้วย”
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น