หากจินตนาการว่าเว็บบราวเซอร์เป็นคน Microsoft Edge คงจะหันไปถามปู่ของเขาว่า “ปู่เคยต่อสู้ในสงครามเว็บบราวเซอร์ด้วยเหรอ” และปู่ของเขาที่เป็น Internet Explorer 6 ก็คงจะตอบว่า “ใช่ ฉันก็เคยเป็นเว็บบราวเซอร์เหมือนกับพ่อของแก” แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น เว็บบราวเซอร์นั้นไม่ใช่มนุษย์ และคงจะไม่ออกมาพูดสื่อสารกันแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สงครามเว็บบราวเซอร์นั้นเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้จริง ๆ ในอดีต และดูเหมือนว่ามันจะยืดเยื้อมาเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่หากเรามาลองดูรอบตัวของเราบ้าง เมื่อมีผู้คนออกมาพูดว่า “สงสัยต้องออกมาหาเว็บบราวเซอร์ใหม่แล้ว” คุณก็คงจะเกิดอาการมองบน และก็คิดในใจว่าจะเปลี่ยนทำไม เจ้าตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ดีอยู่แล้ว แค่กินแรมเยอะแค่นั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว และนั่นก็ไม่ใช่สำหรับ Brave Browser อย่างแน่นอน
หากลองมองย้อนกลับไปดูอดีตที่ผ่านมานั้น เมื่อมีผู้คนออกมาพูดว่า “เว็บบราวเซอร์แบบใหม่” สิ่งที่เด็กเนิร์ดด้านคอมพิวเตอร์คิดก็คือพวกเขาต้องการให้มีการแสดงผล HTML/CSS ที่ดีกว่าเดิม รวมถึงการรันเอ็นจิน JavaScript ที่รวดเร็วแบบสายฟ้าแล่บ จากนั้นก็เอา UI สวย ๆ มาครอบอีกทีหนึ่ง ทว่าปัจจุบันนั้นสงครามเอ็นจินดูเหมือนว่าจะจบลงแล้ว เมื่อผู้ครองตลาดในปัจจุบันนั้นก็คือ Chromium engine ที่ถูกเรียกว่า Blink ที่ปัจจุบันถูกใช้งานในเว็บบราวเซอร์ชื่อดังอย่าง Chrome, Opera, Edge, Vivaldi ส่วนผู้ที่ครองตลาดได้น้อยกว่าก็คือ Firefox และ Safari ของ apple
Brave browser นั้นใช้งาน Blink อยู่ ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีความพิเศษในเรื่องของการแสดงผลที่กล่าวมาข้างต้น แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษมากกว่าบราวเซอร์อื่น ๆ ก็คือในเรื่องของความปลอดภัยและการนำเอา cryptocurrency เข้ามาผนวกด้วย เราลองมาดูกันว่าบราวเซอร์ตัวนี้มีอะไรที่โดดเด่นและน่าใช้บ้าง
ความเป็นส่วนตัวกับเรื่องของโฆษณา
บราวเซอร์ส่วนใหญ่นั้นมีความปลอดภัยที่ค่อนข้างดีในระดับหนึ่งเมื่อคุณทำการใช้มันท่องเว็บต่าง ๆ ไปเรื่อย นอกจากนี้มันยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อยอดนิยมอย่าง HTTP, รองรับแท็บ incognito (เมื่อคุณต้องการเปิดดูเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน) และก็การรองรับระบบ sandbox อื่น ๆ ที่มีหลายระดับที่สามารถป้องกันไม่ให้เว็บบนแท็บแต่ละแท็บที่เปิดสามารถขโมยข้อมูลหากันไปมาได้ อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นปัญหามาจนถึงในตอนนี้ก็คือการริดรอนความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะในเรื่องของการแอบฟังข้อมูลเพื่อใช้ในการโฆษณา
นักโฆษณาเชื่อว่าโฆษณาที่มีประสิทธิภาพนั้นก็คือโฆษณาที่สามารถยิงได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะมีลูกเป็นคนแรกของครอบครัว แต่แบนเนอร์บนเว็บกลับแสดงโฆษณาขายอุปกรณ์การปีนเขาแทนที่จะเป็นรถเข็นหรือขวดนมเด็กทารก และพวกเขาก็หวังที่ว่าคุณจะคลิกเพื่อเข้าไปกดซื้อมันสักวัน ดังนั้นเพื่อให้การโฆษณาผ่านอินเทอร์เน็ตมีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขาได้สร้างโปรไฟล์เสมือนที่จะทำการเก็บข้อมูลการเปิดเว็บบราวเซอร์อย่างลับ ๆ ก่อนที่จะวัดดูว่าอะไรคือสิ่งที่คุณชอบและอะไรคือสิ่งที่คุณไม่ชอบ ซึ่งแม้ว่าสิ่งนี้จะดูไม่มีพิษภัยอะไร แต่ปัจจุบันเทคนิคในการดักและแอบฟังคุณนั้นเริ่มที่จะถือเป็นการรุกรานสิทธิส่วนบุคคลมากเกินไปแล้ว
ธุรกิจการโฆษณาออนไลน์นั้นมีเม็ดเงินหมุนเวียนสูงมาก โดยเฉพาะ Google ที่มีรายได้นับแสนล้านดอลลาร์ต่อปี โดยเฉพาะปี 2019 ที่ผ่านมาพวกเขามีรายได้อยู่ที่ 1.61 แสนล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่ของรายได้เหล่านั้นมาจากการโฆษณาล้วน ๆ ซึ่งก็จริงอยู่ที่พวกเขาขายแอพ และหนัง, ให้บริการด้าน cloud server และรวมถึงขายโทรศัพท์มือถือ Pixel รวมถึงอุปกรณ์ลำโพงอัจฉริยะที่ตั้งในบ้าน แต่เม็ดเงินจากการขายสินค้าและบริการเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถที่จะเทียบเท่าการขายโฆษณาได้เลย
ปัจจุบันนั้น สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ แล้ว เส้นแบ่งระหว่างจริยธรรมและการทำเงินให้ได้มากที่สุดนั้นดูเหมือนว่าจะค่อย ๆ เฟดหายไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเวลามานานมากแล้วที่นักโฆษณานั้นเป็นฝ่ายชนะ และผู้บริโภคก็เริ่มที่จะไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลทำให้มีการสร้างกฎและข้อจำกัดอย่าง “Do Not Track” และ GDPR ของ EU ขึ้นมาเพื่อลดอำนาจของนักโฆษณาลง แต่ดูเหมือนว่ามันก็ยังไม่มีความสามารถมากพอในการหยุดยั้งกิจกรรมอันไร้จริยธรรมเหล่านี้ได้อย่างดีนัก สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว GDPR หมายถึงการที่พวกเขาต้อง “คลิก” และก็ “ยอมรับคุ๊กกี้” ทุกครั้งที่พวกเขาเข้าชมเว็บใหม่ ๆ
เอาอำนาจกลับมาสู่ผู้บริโภคด้วยบราวเซอร์ Brave
ปัจจุบันมันมีตัวเลือกมากมายสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้มีการติดตามดักฟังเพื่อจุดประสงค์การโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต แต่สำหรับ Brave นั้นพวกเขาได้สร้างมันออกมาให้ใช้งานง่ายเป็นค่าเริ่มต้นอยู่แล้ว ซึ่งแพลทฟอร์มโฆษณาส่วนใหญ่ใช้เทคนิคเพื่อตรวจจับคุณ และทำการติดตามคุณไปตลอดเวลาที่คุณเปิดเว็บแต่ละเว็บ แต่ทว่า Brave นั้นจะช่วยทำการบล็อคการติดตามเหล่านี้หมด ทำให้คุณสามารถเปิดเว็บได้โดยไม่ถูกติดตาม รวมถึงข้อได้เปรียบด้านความเป็นส่วนตัว รวมถึงฟีเจอร์การเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลอีกด้วย โดยอ้างอิงจากการทดสอบของทาง Brave นั้น พวกเขาเคลมว่ามันสามารถที่จะโหลดเว็บส่วนใหญ่ได้เร็วกว่า Chrome, Safari, Firefox ถึง 6 เท่าทั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์และบนโทรศัพท์มือถือเลยทีเดียว ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่ารูปภาพส่วนเกิน, JavaScript และก็ข้อมูลการ tracking อื่น ๆ นั้นถูกขจัดออกไปจนหมดยังไงล่ะ
แล้วนั่นจะไม่แฟร์กับเจ้าของเว็บที่มีรายได้หลัก ๆ มาจากการโฆษณาเหรอ?
คำตอบง่าย ๆ ก็คือใช่ มันไม่แฟร์ และก็ถือเป็นข้อเสียขนาดใหญ่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในงานอดิเรกในการทำเว็บ, ช่อง YouTube และอื่น ๆ ที่จะต้องสูญเสียรายได้ของพวกเขา สำหรับบางคนที่เข้าใจในส่วนนี้ก็จะปิดตัว ad blocker เพราะพวกเขารู้ดีว่า content ที่ผู้สร้างเหล่านั้นสร้างขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำพักน้ำแรงนั้นไม่ใช่ของฟรี ทุก ๆ คนก็จำเป็นที่จะต้องมีข้าวกิน แต่ที่น่าตกใจก็คือ Brave นั้นมีการแก้ปัญหาในจุดนี้แล้ว ซึ่งก็คือ Brave Rewards นั่นเอง
โดยแทนที่มันจะล่อให้คุณมาคลิกที่โฆษณานั้น Brave จะทำการคำนวณ (แบบไร้ตัวตน) เพื่อดูความสนใจของคุณต่อเว็บไซต์ที่คุณเข้าชมว่ามีมากขนาดไหน โดยในทุก ๆ เดือนนั้น Brave Rewards จะทำการแจกเหรียญคริปโตให้กับเว็บไซต์ที่คุณเปิดโดยใช้ Brave ในทุก ๆ เดือน นอกจากนี้คุณยังสามารถให้ทิปกับผู้สร้างเว็บไซต์ได้โดยตรงอีกด้วย หากคุณชอบเว็บนั้น ๆ เป็นการส่วนตัว
สำหรับเหรียญคริปโตที่อยู่เบื้องหลังระบบ Brave Rewards ดังกล่าวนั้นก็คือ BAT (Basic Attention Token) นั่นเอง โดยมันรันอยู่บน Blockchain ของ Ethereum ในรูปแบบ ERC-20 นั่นหมายความว่าคุณสามารถที่จะนำมันไปขายต่อบนเว็บเทรดคริปโตอย่างเช่น Binance ได้นั่นเอง
ทาง Brave ได้มีการตั้งเป้าหมายไว้ทั้งหมดสองระดับ โดยระดับแรกก็คือการแทนที่โมเดลการโฆษณาในปัจจุบันด้วยการให้ผู้คนส่วนใหญ่หันมาใช้ Brave Browser รวมถึงเหรียญ BAT อีกด้วย ส่วนขั้นตอนที่สองก็คือการให้ผู้ใช้งาน, ผู้สร้างเว็บ และก็ผู้โฆษณาหันมาใช้เหรียญ BAT ในการเป็นสกุลเงินเพื่อจ่ายค่าโฆษณา
เหรียญ BAT และกระเป๋า Uphold
เมื่อคุณมีเหรียญคริปโต คุณก็จะต้องมีกระเป๋าที่เอาไว้ใช้เก็บมัน ซึ่งเว็บบราวเซอร์ Brave นั้นก็ได้มีการใส่กระเป๋าเก็บคริปโตแบบไร้ตัวตนมาให้แล้ว ซึ่งมันจะทำการเก็บเหรียญไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือบนโทรศัพท์ทือถือของคุณ และในอนาคตนั้นทาง Brave จะมีการอัพเดตให้คุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เหล่านี้ไปมาระหว่างกันได้อย่างเช่นการเชื่อมต่อข้อมูลการเข้าชมเว็บ หรือ Bookmarks ที่ในตอนนี้ยังถูกปิดไว้อยู่ เนื่องจากว่ามันยังมีปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย
นอกจากนี้ผู้ชมเว็บยังสามารถที่จะได้รับเหรียญ BAT เมื่อคุณคลิกที่โฆษณาอีกด้วย โดยจะมีการแสดงโฆษณาโดยอ้างอิงจากสิ่งที่คุณสนใจ ทว่าในครั้งนี้ข้อมูลส่วนตัวของคุณหรือประวัติการเข้าชมเว็บนั้นจะถูกเก็บไว้ในเครื่องของคุณอย่างเป็นความลับ และไม่ถูกส่งไปให้ใครเลย
เมื่อคุณเห็นสิ่งที่คุณชอบบนอินเทอร์เน็ต คุณสามารถที่จะให้การสนับสนุนผู้สร้างเว็บได้ด้วยการส่งทิปให้พวกเขา เพื่อเป็นการขอบคุณ ส่วนผู้ทำเว็บนั้นก็จะได้รับการจ่ายทิปในทุก ๆ สัปดาห์แรกของแต่ละเดือน
หากคุณต้องการที่จะซื้อเหรียญ BAT แล้วล่ะก็ คุณสามารถที่จะสมัครกระเป๋าเก็บคริปโตที่ตอนนี้กำลังจับมืออยู่กับ Brave ซึ่งก็คือ Uphold โดยเป็นแพลทฟอร์มด้านกระเป๋าคริปโตที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านคนในตอนนี้ อีกทั้งยังรองรับสกุลเหรียญคริปโตมากกว่า 50 เหรียญ
เร็วกว่า Chrome?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเว็บบราวเซอร์ใดก็ตามที่ออกมาโฆษณาว่ามันมีฟีเจอร์มากขนาดไหน แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มันขาดไปไม่ได้เลยก็คือความสามารถพื้นฐานในการเป็นบราวเซอร์ที่ดี ซึ่งก็โชคดีที่มีการทดสอบแล้วว่าความเร็วในการรัน JavaScript บน Brave นั้นเร็วกว่าของ Chrome และ Firefox จริง แต่ก็ยังช้ากว่าของ Microsoft Edge นอกจากนี้หากลองวัดในด้านการกินแรมแล้วจะพบว่า Brave นั้นกินแรมต่อแท็บที่เปิดน้อยกว่า Chrome, Firefox, และ Edge มาก ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า Brave นั้นได้รวมเอาความสามารถในด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความรวดเร็วในการเป็นบราวเซอร์ ผนวกกับฟีเจอร์ด้านคริปโตด้วยกันอย่างลงตัว
และด้วยการที่ Brave ใช้เอ็นจิน Chronium ของ Chrome นั้น จึงทำให้คุณสามารถเข้าถึง Chrome Web Store เพื่อโหลด Extension เข้ามาติดตั้งใน Brave ได้อีกด้วย ดังนั้นนั่นหมายความว่าการเปลี่ยนไปใช้ Brave จาก Chrome นั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ นอกจากนี้คุณยังสามารถนำเข้าประวัติการเปิดเว็บจาก Edge, Chrome, Firefox หรือไฟล์ HTML ได้อีกด้วย
สรุปควรเปลี่ยนไปใช้ Brave ดีไหม
ปัจจุบันบราวเซอร์ Brave นั้นได้กลายมาเป็นบราวเซอร์หลักของใครหลาย ๆ คนไปแล้ว แม้แต่ผู้เขียนเองนี้ก็ได้ใช้มันมาพักใหญ่ ๆ แล้วเช่นกัน โดยข้อดีของมันอีกข้อก็คือการที่มันรองรับระบบปฏิบัติการหลัก ๆ ในปัจจุบันอย่าง Windows, macOS, Linux, iOS และ Android หมดแล้ว
โดยหากคุณสนใจที่จะลองใช้งานบราวเซอร์ Brave นั้น คุณสามารถที่จะลองดาวน์โหลดมาใช้งานได้ด้วยตัวเอง และลองทดสอบดูว่าชอบหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้มันเป็นบราวเซอร์หลัก