ทุกวันนี้เราได้เห็นเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมามากมาย เว็บเทรดและ Exchange ด้านคริปโตก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมามากในทุกวันนี้ เราได้เห็นผู้คนในวงการอื่น ๆ หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ เข้ามาทำธุรกิจทางด้านคริปโตมากขึ้น ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในตัวเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซีนั้นมีมากขึ้นแล้ว
ล่าสุดทางสยามบล็อกเชนได้ทำการสัมภาษณ์ไปยังดร. พาวุฒิ ศรีอัญญากุล (ดร.ผ้า) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด อดีตผู้บริหารแบรนด์บรั่นดีชื่อดัง Johnnie Walker ซึ่งตัวเขาเองก็ได้มองเห็นศักยภาพของคริปโตและได้เริ่มผันตัวมาทำธุรกิจทางด้านนี้โดยตรง
เริ่มต้นรู้จักคริปโต
ส่วนตัวดร. พาวุฒิในตอนนี้ได้นั่งแท่นเป็นผู้บริหารของบริษัทด้านคริปโต โดยเขานั้นจบการศึกษาจนถึงปริญญาเอก สาขา General Management จากมหาวิทยาลัย Singapore Management University และมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและกลุ่มธุรกิจ Nightife & Entertainment และมีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการและการพัฒนา Global Luxury Brands โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาฝ่ายขาย และฝ่ายการตลาด
ด้านดร. พาวุฒิก็เผยในระหว่างการสัมภาษณ์กับทางสยามบล็อกเชนว่าที่รู้จักอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีได้นั้นก็เพราะได้มีคนมาพูดคุยกับเขาเรื่องโปรเจคลงทุนคริปโตเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นก็ยังไม่เชื่อว่ามันจะมีมูลค่าจากนั้นก็เริ่มศึกษาเทคโนโลยีเองในภายหลังซึ่งก็ค้นพบว่ามันมีศักยภาพที่จะสร้างมูลค่าได้จริง
โลกทุกวันนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคดิจิตอลอย่างแท้จริง ซึ่งเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคนไม่ว่าคุณจะทันสังเกตหรือไม่ ด้านดร. พาวุฒิก็ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีทั้ง 3 สาขาที่จะเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากซึ่งก็คือเทคโนโลยี Blockchain, AI และ Big Data
ส่วนตัวของดร. พาวุฒินั้นมองว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมันมีบทบาทในภาคธุรกิจและส่งผลต่อผู้บริโภคโดยตรง โดยกล่าวว่า:
“พวก Mobile Device มันสามารถเอามาใช้ร่วมกับการชำระเงินได้ และมันสามารถเอาไปใช้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้”
และเมื่อได้ศึกษาเทคโนโลยีอย่างจริงจังแล้วเขาก็ได้ตัดสินใจเข้ามาทำโปรเจคด้านคริปโตโดยตรงพร้อมชี้ว่าพื้นที่เติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนยังมีอีกมาก รัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ และแม้แต่ภาคธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง Facebook เองก็ก้าวเท้าเข้ามาในอุตสาหกรรมแล้ว
“อุตสาหกรรมนี้น่าสนใจและมีโอกาสโตอีกเยอะ ตอนนี้คือมันยังอยู่ในช่วงยุคบุกเบิกเอง จริง ๆ มันยังไม่เริ่มจริง ๆ จัง ๆ และรัฐบาลกลางทั่วโลกตอนนี้เริ่มศึกษามาเรื่อย ๆ ทั้งสิงคโปร์และจีน คือมีโอกาสโตขึ้นไปอีกมหาศาล แบงก์ชาติแต่ละประเทศให้ความสำคัญเกี่ยวกับคริปโตมากและอนาคตมันมาแน่ ๆ ปีที่แล้วก็มีประชุมจากแบงก์ชาติเอเชียยุโรปเริ่มคุยกันจริงจังเรื่องนี้ ฝั่งเอเชียโดยเฉพาะจีนนี้ยิ่งมีความ Advance”
เปิดตัวธุรกิจ Classe ผู้ให้บริการ Payment ด้วยคริปโต
ธุรกิจด้านคริปโตนอกจากจะเป็น Exchange หรือโบรกเกอร์ให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตแล้วยังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเป็นผู้ให้บริการด้านการชำระเงินด้วยคริปโต ซึ่งตอนนี้ก็มีบริษัทที่ให้บริการด้านนี้ซึ่งก็คือบริษัท Classe Pay ที่ทางดร. พาวุฒิก็ได้ผันตัวมาเป็นผู้บริหารของที่นี่
Classe Pay เป็นผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสำหรับการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีต่าง ๆ โดยธุรกิจของ Classe นั้นจะแบ่งออกมาเป็น 3 ประเภทคือ
- Classe Pay เป็นแพลตฟอร์มการชำระเงินด้วยคริปโต ซึ่งระบบของ Classe Pay นี้ก็ซัพพอร์ตเอาคริปโตใหญ่ ๆ มาใช้ชำระเงินได้ เช่น BTC, ETH, USDT และ XRP
- Classe Map เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้หา Location ร้านค้าที่รับชำระคริปโตได้ เป็นการให้ข้อมูลลูกค้า สถานที่ โปรโมชั่นและราคา โดยบริการตรงนี้เป็น Value Added Service ให้ร้านค้าที่อยู่ในระบบของ Classe
- Classe City เป็นแพลตฟอร์มที่รวม Classe Pay และ Classe Map เข้าด้วยกันเชื่อมต่อกันกับ Smart City ซึ่งมีการเริ่มทำแล้วในเมืองภูเก็ต ทางดร. ภาวุฒิเผยว่าในเมืองภูเก็ตต้องการที่จะสร้าง Smart City อยู่แล้ว ในกรุงเทพนั้นก็มีแต่ยังไม่ได้ทำทั้งเมือง เจาะย่านหลัก ๆ ที่เป็นย่านท่องเที่ยว เช่น ทองหล่อ
ในตอนนี้ฐานผู้ใช้งานของ Classe ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือร้านค้าขายปลีกต่าง ๆ และกลุ่ม Entertainment เช่น ผับ บาร์ คอนเสิร์ต, Food and Beverage, ธุรกิจการท่องเที่ยว และสปา ซึ่ง Classe จะเจาะกลุ่มนี้เป็นหลักให้พวกเขาได้รู้จักเทคโนโลยีและเห็นประโยชน์ของมันว่าสามารถนำมาใช้ชำระเงินได้และมีประโยชน์กว่าการชำระเงินตามวิธีปกติอย่างไร
ส่วนกลุ่มผู้ใช้งานถัดไปก็คือกลุ่มของผู้ใช้ บุคคลธรรมดาอย่างเรา ๆ ซึ่งเมื่อมีร้านค้าที่รองรับการชำระเงินด้วยคริปโตมากพอแล้ว ฐานผู้ใช้งาน Classe นั้นก็จะเติบโตตามไปด้วย ซึ่งด้านดร. พาวุฒิก็ได้เจาะกลุ่มผู้บริโภคตั้งแต่ผู้ที่มีการทำธุรกรรมมูลค่าเล็กน้อยไปจนกระทั่งถึงกลุ่มที่มีการทำธุรกรรมมูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว
ทั้งนี้ในตอนนี้ทาง Classe Pay นั้นคงอยู่ในขั้นตอนการขอ Standard Payment Institute License ในสิงคโปร์
แนวโน้มของอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีในอนาคต
ในช่วงวิกฤตโรคระบาดมันทำให้เรายิ่งเห็นภาพชัดเจนเลยว่าการทำธุรกรรมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการทำงานมันสามารถทำผ่านออนไลน์ได้หมด เครือข่ายอินเตอร์เน็ตและโลกดิจิตอลนั้นมีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคนเอามาก ๆ
ด้านดร. พาวุฒิก็มองว่าการทำธุรกรรมด้วยคริปโตนั้นจะเป็นนิยมมากขึ้นแน่นอน ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับว่าสินทรัพย์ดิจิตอลมันจะออกมามากขนาดไหน ซึ่งตอนนี้คริปโตใหญ่ ๆ ที่กำลังจะออกมาก็คือ Libra และ Digital Yuan ซึ่งเมื่อรวมกลุ่มคนสองกลุ่มนี้ก็ร่วมกว่าสามพันล้านคนแล้วจากประชากรทั้งโลก 8 พันล้านคน ทางดร. พาวุฒิก็เชื่อว่าหากสองสกุลนี้ออกมาใช้งาน มันจะมีสกุลเงินใหม่ ๆ และสกุลเงินที่ออกโดยแบงก์ชาติออกตามมาอีกเยอะ
นอกจากนี้เขายังมองว่าอนาคตการชำระเงินของสังคมมันต้องเป็นแบบ Cashless แน่นอน โดยกล่าวว่า:
“อย่างจีนช่วงโควิดเผาเงินสดทิ้ง ใช้ e-wallet ในสวีเดนก็ไม่ใช้เงินสดแล้ว เยอรมันก็ใช้เงินดิจิตอลเยอะ แบงก์ชาติในเอเชียส่วนใหญ่ก็มีเยอะโปรเจคเงินดิจิตอลของแบงก์ชาติ สิงคโปร์ก็มีโปรเจคศึกษาเงินดิจิตอลจากธนาคาร ตัว Libra เองทางสิงคโปร์ก็ได้เข้ามาร่วมผ่านกองทุนของเทมาเส็ก”
อนาคตของคริปโตในมุมมองของดร. พาวุฒินั้นน่าจะมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะในช่วงโควิด คนนิยมสั่งอาหารออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์มีความนิยมขึ้น
“อย่างที่เห็นได้จากช่วงโควิด คนสั่งอาหารออนไลน์ ร้านค้าก็สแกนออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์จะบูม พวกธุรกิจทั่วไปจะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิตอลมากขึ้น คนจะเริ่มสนใจและหาความรู้ด้านคริปโตบล็อกเชนมากขึ้น พวกนี้จะทำให้มีการใช้งานมากขึ้น ครอบคลุมกลุ่มคนมากขึ้น ประเทศในเอเชียน่าจะฟื้นตัวเร็ว นักท่องเที่ยวน่าจะเข้ามาเยอะ ซึ่งตรงส่วนนี้น่าจะยิ่งทำให้คริปโตบูมมากขึ้น”
จากอดีตผู้บริหารภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิมได้ก้าวเท้าเข้ามาในอุตสาหกรรมฟินเท็คนั้นก็ชี้ให้เห็นได้ว่าในมุมมองของผู้บริหาร ธุรกิจฟินเท็คมีโอกาสเติบโตและเป็นที่นิยมแพร่หลายอีกมาก คาดว่าในอนาคตเราอาจเห็นการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตกลายเป็นวิถีปกติไปเลยก็ได้