เครือข่าย Blockchain ของ Ethereum Classic นั้นได้ถูกโจมตีแบบ 51% อีกครั้งเมื่อวานนี้ตอนค่ำ โดยถือเป็นครั้งที่สามในเดือนนี้แล้ว การโจมตีดังกล่าวนั้นได้ถูกค้นพบโดยบริษัทด้านการขุด Bitfly นอกจากนี้พวกเขายังเป็นผู้ค้นพบการโจมตีครั้งแรกอีกด้วย
การโจมตีดังกล่าวส่งผลทำให้มีการ reorganize บน blockchain ที่มากกว่า 7,000 บล็อก หรือประมาณสองวันนั่นเอง อ้างอิงจากทวิตเตอร์ของ Bitfly โดยการโจมตีครั้งแรกก่อนหน้านี้ส่งผลทำให้มีการ reorganize ไปถึง 3,693 และ 4,000 บล็อกตามลำดับ
ที่น่าสนใจก็คือ องค์กรที่อยู่เบื้องหลังเหรียญ Ethereum Classic ซึ่งก็คือ ETC Labs เคยออกมาประกาศถึงกลยุทธ์ในการป้องกันเครือข่ายเหรียญของพวกเขาจากการโจมตีใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงระบบการขุดแบบตั้งรับ ที่มีขึ้นเมื่อป้องกันการโจมตีแบบ 51% ในอนาคตอีกด้วย
นาย Stevan Lohja ผู้ประสานงานด้านเทคโนโลยีจาก ETC Labs ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่าตัวเขาค้นพบว่าจังหวะและเวลาในการโจมตีนั้นดูค่อนข้างน่าสงสัยอย่างมาก เนื่องจากว่ามันเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่มีการประชุมของทีมนักพัฒนาหลัก เกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ ๆ บน proof of work
หน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่งนามว่า ETC Cooperative ที่เป็นผู้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายเหรียญ Ethereum Classic ได้ออกมาประกาศบนทวิตเตอร์หลังจากที่มีการโจมตีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า “พวกเรารับรู้ถึงการโจมตีในวันนี้ และกำลังทำงานกับรายอื่น ๆ เพื่อทดสอบและประเมินโซลูชันอื่น ๆ อย่างรวดเร็วที่สุด”
ภายหลังจากการโจมตีสองครั้งแรก เว็บกระดานเทรดคริปโตชื่อดัง OKex ก็ได้ออกมากล่าวตอบโต้ด้วยการประกาศว่าจะพิจารณาเอาเหรียญ Ethereum Classic ออกจากเว็บเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ทาง Coinbase ก็ยังมีทีท่าที่ใกล้เคียงกันอีกด้วยเกี่ยวกับการขยายการฝากและถอนและเวลาในการคอนเฟิร์มเหรียญ ETC เป็นเวลาสองสัปดาห์
หลังจากที่มีการโจมตีครั้งล่าสุดไป เว็บกระดานเทรดคริปโตชื่อดังอย่าง FTX จะพิจารณาลิสต์ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนสัญญา ETC perpetual futures ใหม่ โดย CEO ของบริษัท นาย Sam Bankman-Fried ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า แม้ว่าทางเว็บจะไม่มีบริการ spot trading ให้กับเหรียญคริปโต แต่ก็จำเป็นที่จะต้องทำ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่เหรียญดังกล่าวถูกโจมตีนั้น ราคาของมันก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยได้ร่วงลงไปอยู่ที่ระดับ 6.5 ดอลลาร์
ที่มา Coindesk