<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

4 สาเหตุที่ราคา Bitcoin อาจพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงหลังมูลค่าลดลงไปถึง $2,000

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นักวิเคราะห์ชื่อดังรายหนึ่งได้ออกมาคาดการณ์ว่าราคาของ bitcoin นั้นมีโอกาสที่จะเด้งกลับขึ้นไปได้อย่างมากโดยมี 4 สาเหตุหลักๆดังนี้

  • กราฟ 4 ชั่วโมงของราคา bitcoin ได้เริ่มก่อตัวแพทเทิร์นที่เรียกว่า bullish divergence แล้ว นอกจากนี้ราคายังเริ่มแตะแนวรับอีกด้วย
  • pattern bullish divergence เกิดขึ้นบนกราฟของ Altcoin อื่นอีกด้วยเช่นกัน
  • นอกจากนี้ยังมีตัวชี้วัดที่เรียกว่า golden pocket ที่ได้เกิดขึ้นอีกด้วยซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าราคาของ bitcoin และเหรียญ Cryptocurrency อื่นเริ่มที่จะมีการปรับตัวแล้ว
  • กราฟ btc dominance เริ่มพุงแตะแนวต้านสำคัญแล้ว

กราฟ bitcoin ในระยะยาวยังคงดูเป็นขาขึ้น

แม้ว่าการเด้งขึ้นมาครั้งล่าสุดของราคา bitcoin นั้นจะอยู่ได้ไม่นานแต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าภาพรวมในระยะยาวของตลาดนั้นยังคงดูเป็นด้านบวกอยู่

นักเทรดรายหนึ่งได้ออกมาเผยให้เห็นถึงกราฟด้านล่างที่แสดงให้เห็นว่าราคาของ bitcoin นั้นได้เด้งขึ้นมาจากระดับสำคัญแล้วอีกทั้งยังถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเป็นของขาขึ้นนั้นยังคงอยู่

“อัตราของ BTC funding และ premium index ได้ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดเมื่อวานนี้ แบบที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม แต่ความแตกต่างของครั้งนี้ก็คือมันกำลัง retest ระดับ S/R ในรอบหลายปี นอกจากนี้ยังมีการยืนยันถึงการพุ่งขึ้นใน MS บนกราฟระดับรายเดือนอีกด้วย”

นอกจากนี้ปัจจัยพื้นฐานของ bitcoin นั้นยังคงดูเป็นขาขึ้นอีกด้วยเช่นกันโดยมีการคาดการณ์ว่ามันยังมีช่องว่างให้ราคานั้นพุ่งขึ้นอีกมาก นาย Raoul Paul หรือ CEO ของบริษัท Real Vision ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า

“คนส่วนใหญ่มักจะไม่เข้าใจอย่างหลังแต่หากจะให้ผมอธิบายง่ายๆนั้นก็คือว่านาย Powell ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตอนนี้ธนาคารกลางสหรัฐไม่มีความอดทนต่ออัตราเงินฝืดดังนั้นพวกเขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหยุดมันไว้ และนั่นถือเป็นเรื่องที่ดีต่อสินทรัพย์ทั้งสองนีัซึ่งก็คือทองคำและ bitcoin นาย Powell ต้องการให้มีอัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นผมไม่คิดว่าเขาไม่เข้าใจถึง demand ที่จะเป็นตัวผลักดันอัตราเงินเฟ้อแต่เขาต้องการที่จะให้มูลค่าของเงินกระดาษนั้นลดลงและพวกเขาจะทำมันไปพร้อมพร้อมกับธนาคารอื่นๆ”

แม้ว่าตลาด bitcoin นั้นจะยังคงดูอ่อนแอไปในระยะสั้นแต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังคงมองมันเป็นด้านบวกอยู่ดี