<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Bitcoin ทำการ Hard fork มาแล้วกว่า 437 ครั้ง นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งในปี 2009

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นับตั้งแต่ที่โปรเจคได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2009 นักพัฒนาอิสระของ Bitcoin ได้ทำการ Fork เหรียญ Altcoin แยกออกไปเป็นจำนวนกว่า 400 รายการ โดยข้อมูลจาก MapOfCoins แสดงให้เห็นว่าเหรียญคริปโตเบอร์หนึ่งของโลกมีการ Fork เหรียญไปแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 436 รายการ   

แม้จะมีการ Fork เหรียญ Altcoin ออกมามากมาย แต่ Bitcoin ก็ยังคงครองตำแหน่งเหรียญคริปโตอันดับหนึ่งของโลกจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยมีการครองส่วนแบ่งในตลาดคริปโตอยู่ที่ระหว่าง 58 – 79% ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

เหรียญ Fork ตัวแรกของ Bitcoin

หลังจาก Bitcoin เปิดตัวได้เพียง 2 ปี มันก็มีการ Hard Fork ครั้งแรกเกิดขึ้น โดยเหรียญที่ถูก Fork แยกออกมาจากเครือข่ายของ Bitcoin ตัวแรกนั้นมีชื่อว่า “Namecoin” 

มันแตกต่างจาก Bitcoin โดยสิ้นเชิง Namecoin นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการกระจายอำนาจและการจัดการข้อมูลส่วนตัวเป็นหลัก แม้จะมีวัตถุประสงค์และรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน แต่ Namecoin ก็ถือเป็นเหรียญคริปโตตัวแรกที่ถูก Fork แยกออกมาจาก Bitcoin ในฐานะลูกหลาน

ไม่นานหลังจาก Namecoin มาถึงทีของ Litecoin ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเร่งกระบวนการทำธุรกรรม Bitcoin ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น จนถึงทุกวันนี้ Litecoin ยังคงเป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลและถูกขนานนามให้เป็น ‘เงินดิจิทัล’ เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ทองคำดิจิทัล’ อย่าง Bitcoin 

ปัจจุบัน Litecoin มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์และครองตำแหน่งอันดับที่ 9 ในการจัดอันดับของ CoinMarketCap

Litecoin เป็นเหรียญที่วิวัฒนาการมาจาก Bitcoin fork ซึ่งตอนนี้ถูกเรียกว่า Tenebrix และมันเป็นลูกหลานของ Bitcoin ตามแผนภูมิต้นไม้ (ด้านล่าง) และหลังจากความสำเร็จของ Litecoin มันก็มาพร้อมกับการ Hard Fork Bitcoin อีกกว่า 10 โปรเจค โดยแต่ละโปรเจคสัญญาว่าจะนำเสนอยูทิลิตี้ที่ไม่เหมือนใครไปจนถึงรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน

สงคราม Bitcoin Fork 

อย่างที่เราทราบกันดีในปี 2017 Bitcoin ได้เผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ หลังจากชุมชนนักพัฒนาของ Bitcoin มีความเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องของขนาดบล็อกที่เล็กเกินไป จนในที่สุดทีมนักพัฒนาก็ได้แบ่งกันออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ก็คือ ‘Bitcoin Core’ และ ‘Bitcoin Cash’ 

กลุ่ม Bitcoin Core นั้นสนับสนุนโซลูชันที่เรียกว่า Segregated Witness (SegWit) ซึ่งจะแบ่งข้อมูลธุรกรรมบางอย่างเพื่อประหยัดพื้นที่และทำให้ธุรกรรมเร็วขึ้น ในขณะที่กลุ่ม Bitcoin Cash ชอบขนาดบล็อกที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถทำธุรกรรมได้ต่อบล็อกได้มากขึ้น

ในที่สุดทั้งสองกลุ่มก็ล้มเหลวในการเจรจาสันติภาพ ซึ่งนำไปสู่การ Hard fork เหรียญ Bitcoin Cash ภายใต้สัญลักษณ์ BCH

ในเดือนกันยายนปี 2018 BCH ได้ผ่านสมรภูมิการต่อสู้มาอย่างยากลำบากและต้องมาเผชิญกับการต่อสู้อีกครั้ง จนส่งผลให้เกิด ‘ลูกหลาน’ ตัวใหม่ที่เรียกว่า Bitcoin Satoshi’s Vision (SV) ภายใต้สัญลักษณ์ BSV

จากที่กล่าวไปข้างต้นสรุปได้ว่า แม้ Bitcoin จะถูก Fork แยกออกมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ราคาเหรียญคริปโตทั้งปวงจะพ่ายแพ้ให้กับเหรียญ Fork เหล่านี้ และนี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า Bitcoin ยังคงเป็นเหรียญคริปโตหนึ่งเดียวที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้การยอมรับมากที่สุด