ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาดูเหมือนว่า Facebook นั้นจะพยายามเซนเซอร์เพื่อปิดกั้นการมองเห็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับ Bitcoin อีกครั้ง โดยรายงานล่าสุดเผยว่าทาง Facebook พยายามที่จะเซ็นเซอร์เนื้อหาภายใต้ hashtag ที่ชื่อว่า ส่งผลทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาอย่างวีดีโอ, รูป หรือแม้แต่ข้อความอื่น ๆ ภายใต้ hashtag ดังกล่าวได้
โดย screenshot ด้านล่างจากผู้ใช้งาน Facebook รายหนึ่งเผยให้เห็นว่าเมื่อเขาใส่ hashtag คำว่า ลงไปในช่องค้นหา Facebook กลับแสดงผลการค้นหาว่าเนื้อหาเกี่ยวกับ Bitcoin บางตัวนั้นผิดกฎการใช้งาน และทำให้พวกเขาไม่แสดงโพสต์ทั้งหมดเลย
ภาพดังกล่าวถูกโพสต์ครั้งแรกบน Twitter โดยผู้โพสต์นั้นได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์การแบนดังกล่าวของ Facebook ตามโพสต์ด้านล่างนี้
แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้งานบางรายนั้นก็ออกมากล่าวว่าสามารถค้นหา hashtag คำว่า ได้ปกติ แต่ก็มีบางรายจากประเทศไทย, เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, นิวยอร์คที่ออกมากล่าวว่า hashtag ดังกล่าวนั้นไม่สามารถถูกค้นหาได้
อย่างไรก็ตาม ทางสยามบล็อกเชนได้ทดสอบค้นหาโดยใช้ hashtag ดังกล่าว และพบว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติ ดังนั้นจึงเป็นที่คาดการณ์ว่าการปิดกั้นเนื้อหาดังกล่าวนั้นอาจจะมีแค่เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น
Facebook มีท่าทีที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการแบนคริปโต
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Facebook พยายามปิดกั้นเนื้อหาเกี่ยวกับ Bitcoin โดยในช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมาพวกเขาได้ตัดสินใจอัพเดตนโยบายใหม่ที่เป็นการป้องกันการโปรโมทและโฆษณาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrency และ ICO
โดย blog ของทาง Facebook ระบุว่าผลิตภัณฑ์ด้าน cryptocurrency นั้นอาจจะส่งผลเสียต่อความสนใจของผู้ใช้งานได้ โดยในระหว่างนั้นพวกเขาได้มีการแบนแบบกว้าง ๆ จนกว่าจะสามารถปรับแต่งระบบให้เลือกแบนได้เฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านคริปโตบางตัว
“พวกเราได้ออกนโยบายใหม่ที่เป็นการป้องกันโฆษณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้านการเงินและบริการที่มีความเกี่ยวข้องกับโปรโมชันโฆษณาที่หลอกลวงหรือทำให้ผิดหวัง อย่างเช่น binary options, ICO และ cryptocurrency”
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นดูเหมือนว่า Facebook จะสำนึกได้ และกลับมาเปิดให้โฆษณาเกี่ยวกับ cryptocurrency อีกครั้ง ซึ่งมันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเปิดตัวเหรียญ Libra ของพวกเขา และดูเหมือนว่าช่วงเวลาดังกล่าวนั้นจะเหมาะสมพอดี
หากคุณลองค้นหา hashtag คำว่า ที่เป็นเหรียญคริปโตของ Facebook เองนั้นจะพบว่ามันไม่ได้ถูกปิดกั้นการมองเห็นแต่อย่างใด และผู้ใช้งานอื่น ๆ บน Twitter ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันไม่ได้ถูกปิดกั้นเหมือนกับ