ในขณะนี้ชุมชน Bitcoin และ Cryptocurrency กำลังปกป้องความเป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ หลังได้รับผลกระทบจากการแฮ็กครั้งใหญ่ของผู้ให้บริการกระเป๋าเงิน Ledger Wallet ซึ่งได้ปล่อยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่า 270,000 รายผ่านทางออนไลน์
ก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้มีการรายงานไปแล้วว่า แฮ็กเกอร์เริ่มปล่อยข้อมูลรั่วไหลที่ได้จากฐานข้อมูลของ Ledger แล้ว ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานของ Ledger อย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยมีอีเมลมากกว่าหนึ่งล้านฉบับ รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่มากกว่า 272,000 หมายเลขถูกขโมยไป ซึ่งข้อมูลที่รั่วไหลออกมานี้ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Ledger ทุกคนได้ เนื่องจากพวกเขาอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามทางไซเบอร์หรือแม้แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง
การแฮ็กในครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงช่องโหว่ที่สำคัญบนเว็บไซต์ของ Ledger ซึ่งได้อนุญาตให้ “บุคคลที่สามที่ไม่ได้รับอนุญาต” สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลอีคอมเมิร์ซและข้อมูลการตลาดของบริษัทได้
“ยุติการเฝ้าระวังทางการเงิน หยุดบังคับให้บริษัทต่าง ๆ เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าของพวกเขา (KYC) เพราะมันอาจถูกแฮ็กได้” นาย Balaji Srinivasan นักลงทุนด้านเทคโนโลยีและอดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีจาก U.S. bitcoin และ Coinbase กล่าวบน Twitter พร้อมเสริมด้วยว่า “ความเป็นส่วนตัวนั้นมีความสำคัญมากกว่าการ KYC”
กฎระเบียบข้อบังคับและข้อกำหนดด้านภาษีได้สั่งให้ บริษัท ต่าง ๆ จำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับลูกค้าของตน ซึ่งมักจะใช้เวลานานหลายปีและในขณะที่กฎระเบียบเพิ่มเติมเช่น ข้อบังคับการคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (GDPR) ของสหภาพยุโรปได้รับการออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ บัคและช่องโหว่ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“การรวมตัวกันของฐานข้อมูลส่วนกลางที่ไม่ปลอดภัยและกฎหมาย KYC ในปัจจุบันกำลังทำให้ให้ผู้คนหลายล้านคนเสี่ยงตกเป็นเหยื่อของแฮ็กเกอร์” นาย Srinivasan กล่าว
ลูกค้าของ Ledger บางรายได้รับอีเมลจากนักต้มตุ๋นที่มีชื่อที่อยู่ของพวกเขา และข่มขู่พวกเขาในรูปแบบต่าง ๆ เว้นแต่พวกเขาจะยอมจ่ายค่าไถ่
เนื่องด้วย Bitcoin นั้นมีคุณสมบัติที่เป็น Decentralize นั่นหมายความว่าไม่มี บริษัทหรือองค์กรใดที่สามารถกำหนดเป้าหมายโจมตีไปที่ Bitcoin ได้โดยตรง ดังนั้นเว็บเทรดคริปโตแบบ Centralize , ผู้ให้บริการกระเป๋าเงินและแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ จึงกลายเป็นช่องโหว่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Bitcoin ไปอีกนาน