เมื่อวานนี้ราคา Bitcoin ได้ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ไว้ที่ระดับ $34,700 ต่อ 1 BTC ภายหลังจากเมื่อปี 2017 ระดับราคาอยู่ที่เพียง $19,700 ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ล้วนได้รับความสนใจจากสำนักข่าวทั่วโลก โดยทาง Cointelegraph ได้คาดการณ์ว่าเหตุการณ์การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของราคา Bitcoin เกิดจากปัจจัยดังนี้
ตอนนี้ตลาดคริปโตไม่ได้ผันแปรตามนักลงทุนรายย่อยอีกต่อไป
ขาขึ้นที่รุนแรงในปี 2017 นั้นเกิดจากปัจจัยของนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ในปี 2020 ที่ผ่านมานั้นได้มีนักลงทุนสถาบันจำนวนมากพร้อมเม็ดเงินมหาศาลที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการคาดการณ์กันว่านักลงทุนกลุ่มนี้จะเข้ามาเพื่อลงทุนระยะยาว โดยปัจจุบันได้มีการลงทุนผ่าน Chicago Mercantile Exchange (CME) กว่า 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังมีการเข้ามาลงทุนของสถาบันการลงทุนขนาดใหญ่อีกด้วย ดังเช่นในเดือนตุลาคมปี 2020 ที่ PayPal ได้เปิดให้มีการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มอีกด้วย ขัดแย้งกับในปี 2018 ที่อดีต CEO ของ PayPal ได้ออกมาเตือนว่า Bitcoin นั้นไร้มูลค่าและกำลังพุ่งเข้าหา $0 ต่อ 1 BTC
อีกทั้งนักลงทุนสถาบันที่ได้เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Microstrategy หรือ Greyscale ที่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดสกุลเงินดิจิทัลกว่าพันล้านเหรียญตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา และล่าสุดได้มีข่าวว่าบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่จาก Nasdaq ชื่อว่า Green Pro ได้เตรียมการลงทุนในตลาดสกุลเงินดิจิทัลกว่า 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
อัตราการลงทุนในปัจจุบันเมื่อเทียบกับปี 2017
อีกปัจจัยที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าสภาพตลาดในปัจจุบันนั้นต่างจากในปี 2017 นั้นคือการลงทุนในปี 2017 จะอยู่ในระดับราคาประมาณ $10,000 เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน Bitcoin จะมีราคาที่สูงมาก ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยอาจไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้
และในขณะเดียวกันที่ปัญหาการว่างงานกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกจากปัญหาสภาวะ COVID-19 และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ส่งผลให้คนจำนวนมากแสวงหาจุดลงทุนใหม่หลังจากตลาดการลงทุนบางส่วนได้รับผลกระทบจาก COIVD-19 อย่างรุนแรง
อย่างที่ได้เห็นกันเมื่อช่วงต้นปี 2020 ที่ตลาด Future ราคาน้ำมันร่วงอย่างรุนแรงหลีกจากที่หลายประเทศเริ่ม Lockdown ทำให้อุตสาหกรรมการบินต้องหยุดชะงักในหลาย ๆ ภูมิภาค
ช่องทางการเข้าถึงและใช้จ่ายด้วยสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น
แม้ว่าปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยจะลังเลที่เข้ามาลงทุนก็ตาม แต่ช่องทางการซื้อขายและลแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลยังคงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังส่งผลให้การแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการซื้อขายที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยปัจจับนในสหรัฐฯ ได้มีผู้ให้บริการที่ได้รับการจดทะเบียนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิเช่น CoinFlip ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ซึ่งในอนาคตได้วางแผนที่จะขยาย Bitcoin ATM สำหรับผู้ต้องการถอนเงินสดจากหน่วยเงินคริปโตแม้ว่าจะไม่มีบัญชีธนาคารก็ตาม
ซึ่งผู้บริหารของ CoinFlip นาย Ben Weiss ได้กล่าวว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนสามารถเข้าเข้าถึงตลาดสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องผ่านระบบธนาคารทั่วไปโดยสิ้นเชิง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวัง Bitcoin ATM ที่อาจมีการเก็บค่าธรรมเนียมในการใช้งานสูงถึง 20% ซึ่งปัจจุบัน CoinFlip และ CoinSource นั้นเก็บค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 6.99% และ 11% ตามลำดับ
ที่มา: cointelegraph