แม้ว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราคา Bitcoin จะมีรูปแบบราคาขาลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเดือนตุลาคมในปีที่แล้วที่ราคากลับมาพุ่งทะยานอีกครั้ง ส่งผลให้ในเดือนธันวาคมมีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ทาง Morgan Stanley ได้ออกมาเตือนว่าการใช้จ่ายมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อต่อสู้กับภาวะ COVID-19 อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมาได้ และนักยุทธศาสตร์การลงทุนบริษัท Morgan Stanley นาย Michael Wilson ได้กล่าวว่าแม้ GDP จะกำลังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่สภาพเศรษฐกิจนั้นยังห่างไกลกับสภาวะก่อนการระบาดมาก
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตั้งเป้าที่จะพิมพ์เงินเพื่อให้ค่าเงินเฟ้อพุ่งทะลุ 2% แล้วจึงค่อยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อหักลบกับค่าคาดหวังของอัตราเงินเฟ้อ (Expected Inflation Rate) ต่อในภายหลัง โดยตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ทำการเข้าซื้อหลักทรัพย์มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มีเงินสดคงเหลืออยู่ในตลาดเป็นปริมาณมหาศาล
โดยหลังจากที่ได้มีคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเงินเฟ้อมหาศาลเกิดขึ้น นักลงทุนระยะยาวนาย Paul Tudor ก็ได้เข้าซื้อ Bitcoin ในเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา ก่อนที่นักลงทุนรายอื่น ๆ จะตามมาในภายหลัง
หัวหน้าฝ่ายบริหารบริษัทข้อมูลคริปโต นาย Charles Hayter ได้กล่าวว่า หลังจากที่มีนโยบายทางการเงินที่ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยจริง (Real interest rate) ที่ติดลบจาก COVID-19 ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องหาทรัพย์สินทดแทนมูลค่า อาทิเช่น ทองคำ หรือ Bitcoin เพื่อหลบเลี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้
ท้ายที่สุดนี้หัวหน้าฝ่ายบริหารบริษัท Bitcoin Depot นาย Brandon Mintz ยังได้กล่าวว่า มูลค่าของ Bitcoin ในระยะยาวนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะด้วยปริมาณเหรียญที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งทำให้มีความน่าลงทุนสูง โดยเฉพาะเมื่อนำไปเทียบเงิน Fiat ที่สามารถที่จะพิมพ์เพิ่มได้อย่างไม่จำกัด หรืออาจเสียมูลค่าจากเงินเฟ้อได้
ที่มา: Forbes