<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นักลงทุนสถาบันถือ Bitcoin อยู่ 3% ของที่มีอยู่ทั้งหมดในเครือข่ายแล้ว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นักลงทุนสภาบันนั้นกำลังแห่กันเข้ามาช้อนซื้อ Bitcoin กันอย่างคับคั่งในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ โดยปัจจุบันมี 3% ของ Bitcoin ที่ถูกล็อคเอาไว้เพื่อการถือระยะยาวโดยหลุ่มนักลงทุนเหล่านี้แล้ว

ข้อมูลล่าสุดเผยว่ามีบริษัทราว ๆ 24 แห่งที่ถือ Bitcoin รวมกันกว่า 460,500 BTC แล้วในตอนนี้ ซึ่งคิดเป็นเงินรวมกันราว ๆ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์

โดยอ้างอิงจากนาย Mike Novogratz นั้น เขาเผยว่ามี Bitcoin ที่สูญหายไปตลอดกาลแล้วในเครือข่ายประมาณ 3 ล้าน BTC นอกจากนี้เขายังเผยอีกด้วยว่าเราอาจจะได้เห็นภาวะของขาดเกิดขึ้นในตลาดได้ หากนักลงทุนสถาบันยังแห่ช้อนซื้อ BTC ไปเก็บเอาไว้แบบนี้อีก

ปัจจุบันบริษัทอันดับต้น ๆ ที่ถือ Bitcoin นั้นประกอบไปด้วย MtGox K K, ที่ถืออยู่ราว ๆ 141,690 BTC (6.6 พันล้านดอลลาร์) รายถัดไปคือ Block.one ที่ถืออยู่ท 140,000 BTC (6.5 พันล้านดอลลาร์) Microstrategy ที่ถืออยู่ท 71,000 BTC (3.3 พันล้านดอลลาร์) และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Tesla นั้นก็ได้ทำการซื้อ Bitcoin ไปแล้วที่ 38,500 BTC หรือราว ๆ (1.8 พันล้านดอลลาร์)

ตอนนี้นักวิเคราะห์นั้นกำลังคาดการณ์ว่าการถือ Bitcoin เพื่อเก็บไว้ในคลังนั้นจะกลายมาเป็นมาตรฐานของบริษัทอีกหลาย ๆ แห่ง เนื่องจากว่า BTC นั้นถือเป็นตัวเก็บมูลค่าที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อนั่นเอง

อย่างแรกนั้นก็คือ BTC นั้นมีจำนวน supply ที่จำกัด อีกทั้งยังมีลักษณะเป็นตัวเก็บมูลค่าที่ดีเหมือนทองคำ แต่มีความง่ายในการใช้งานที่มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่มีใครสามารถที่จะเร่งการสร้าง supply ใหม่ ๆ ของ Bitcoin ออกมาผ่านการขุดที่มากขึ้นได้อีกด้วย

ปัจจุบันผู้ถือเหรียญรายใหญ่นั้นกำลังลดช่วยลดจำนวนเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดด้วยการซื้อ Bitcoin เพิ่มขึ้นและนำไปล็อคเก็บไว้ใน cold storage ซึ่งวัฒนธรรมการถือเหรียญระยะยาวแบบนี้นี่เองที่ดูเหมือนว่าจะเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์เหรียญขาดตลาด และทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้

การเก็บ Bitcoin เข้ามาเป็นเงินคลังของบริษัทนั้นทำให้พวกเขาสามารถใช้มันเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าของเงินรัฐบาล รวมถึงรัฐบาลนั้นก็ไม่สามารถที่จะยึดเงินไปจากบริษัทได้อีกด้วย

ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการซื้อ Bitcoin ของ Tesla นั้นก็คือช่วงจังหวะและเวลาในการซื้อ Bitcoin ของพวกเขาที่ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคา BTC นั้นพุ่งไปถึง 250% จากในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 250% ใน 4 เดือนเท่านั้น

การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ในเดือนนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้มูลค่าตลาดของมันนั้นได้แซงหน้าของ Tesla ไปแล้ว

ในอดีตการซื้อ Bitcoin นั้นอาจทำให้หลาย ๆ คนมองว่าเป็นเรื่องของความเสี่ยง และเป็นการกระทำที่ดูหวือหวาเกินไป แต่ตอนนี้มันกลับกลายมาเป็นเรื่องที่สมควรทำในหมู่นักลงทุนสถาบันไปเสียแล้ว

ปัจจุบันเม็ดเงินของบริษัททั่วโลกนั้นรวมกันมีอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหาก 3% ของเม็ดเงินเหล่านั้นถูกนำมาใช้ซื้อ Bitcoin ก็จะคิดเป็นราว ๆ 3 แสนล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

หากลองพิจารณาดูแล้วว่า 60% ของ Bitcoin นั้นไม่ได้ถูกเคลื่อนไหวมาแล้วเป็นเวลากว่า 1 ปี ดังนั้นการไหลเข้ามาของเม็ดเงินราว ๆ 3 แสนล้านดอลลาร์นั้นถือเป็นจำนวนที่แทบจะจินตนาการไม่ได้เลยสำหรับสินทรัพย์ที่มี free float อยู่แค่ราว ๆ 3.55 แสนล้านดอลลาร์

ยิ่งไปกว่านั้น Bitcoin ที่ถูกขุดออกมาใหม่นั้นมีอยู่ที่ราว ๆ 341,640 BTC ต่อปี หรือคิดเป็นราว ๆ แค่ 1.63 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น ดังนั้นเราจึงอาจจะประมาณการณ์ได้ว่าเม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันที่ไหลเข้ามาในตลาด Bitcoin นี้อาจจะส่งผลทำให้ราคาของมันเพิ่มขึ้นมากกว่าแค่ 2 เท่าก็เป็นได้