Ryan Watkins จาก Messari กล่าวว่า Ethereum ซึ่งเป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่ใหญ่เป็นอันดับสองจากมูลค่าตลาด มีศักยภาพที่จะแทนที่ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมอันดับหนึ่งได้
นักวิเคราะห์การวิจัยอาวุโสอ้างว่า ตัวเร่งปฏิกิริยาที่อาจนำไปสู่เหตุการณ์พลิกผัน ประการแรกมาจาก การอัปเกรดโปรโตคอลเต็มรูปแบบของ Ethereum ที่จะเปลี่ยนจาก proof-of-work ไปเป็น proof-of-stake ซึ่งจะนำไปสู่ “burn mechanism” หมายความว่าเครือข่ายจะทำลายโทเค็น ETH ล่วงหน้าโดยอัลกอริทึมที่มากกว่าอุปทานที่มีอยู่ ซึ่งนำไปสู่ scarcity ที่ดีขึ้น

ประการที่สอง นาย Watkins ตั้งข้อสังเกตว่า การอัปเกรด Ethereum ที่ใกล้เข้ามา จะทำให้เครือข่ายมีความปลอดภัยมากกว่า Bitcoin ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเป็นบทบาทของบล็อกเชนที่มีการใช้งานมากที่สุดในพื้นที่ โดยจะมีการดึงดูดโปรเจ็คใหม่ ๆ และผู้ใช้จากภาคการเงินแบบกระจายอำนาจ ( DeFi) ที่เกิดขึ้นใหม่ดเข้ามา และ non-fungible token ด้วย ซึ่งตัว Bitcoin เองขาดคุณสมบัติเหล่านี้ ในขณะที่มันเปลี่ยนไปเป็นตัวต่อต้านภาวะเงินเฟ้อ และต่อต้านการจัดเก็บมูลค่าแบบ fiat
นาย Watkins กล่าวว่า “จุดขายของ Bitcoin ที่เหนือ Ethereum คือฐานะที่เก็บมูลค่า (store of value) ทำให้นโยบายการเงินเป็นที่คาดเดาได้อย่างมากและบล็อกเชนของ Bitcoin มีความปลอดภัยมาก” “ผมคิดว่าด้วยการเปลี่ยนไปใช้ Eth2 และ Proof-of-Stake ของ Ethereum อาจมีความปลอดภัยมากกว่า Bitcoin ด้วยซ้ำ”
เขาได้กล่าวเสริมว่า “ถ้า Ethereum มีความปลอดภัยมากขึ้น และเรามีนโยบายการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ราคา Bitcoin จะเป็นอย่างไรต่อไปในสถานการณ์แบบนี้”
มูลค่าตลาดที่แตกต่างกัน
Bitcoin ด้วยมูลค่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์บวกกับมูลค่าตลาดเหนือกว่า Ethereum ที่ประมาณ 800 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ bitcoin ครองสัดส่วนประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า Ethereum จะต้องวิ่งตามอย่างหนัก หากต้องการโค่นตำแหน่งของ Bitcoin

นอกจากนี้ Ethereum 2.0 จะนำสิ่งที่ Bitcoin ขาดไปอย่างชัดเจน นั่นคือความสามารถในเรื่อง scalability และความเร็ว การอัปเกรดจะเปิดใช้งานเครือข่ายขนาดใหญ่ของ Ethereum ในทันที ซึ่งสนับสนุนโครงการอย่าง Uniswap และ Tether ซึ่งเป็นความได้เปรียบเหนือ Bitcoin ที่ไม่รองรับสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับ dapp
ตัวอย่างเช่น เครือข่าย Ethereum ที่อัปเกรดแล้วคาดว่าจะทำธุรกรรมได้ 100,000 รายการต่อวินาที เมื่อเทียบกับธุรกรรมของ Bitcoin ที่ 2-6 ธุรกรรมต่อวินาที
Ethereum และกฎ Metcalfe
นักวิเคราะห์ Raoul Pal ใช้กฎของ Metcalfe เพื่อแสดงให้เห็นว่า Ethereum อาจโค่นตำแหน่ง Bitcoin ได้อย่างไร
เมื่อมองย้อนกลับไป กฎดังกล่าวระบุว่า “ผลกระทบของเครือข่ายเป็นสัดส่วนกำลังสองของจำนวนโหนดในเครือข่ายดังกล่าว” พูดง่าย ๆ ก็คือ ยิ่งมีผู้ใช้บล็อกเชนมากเท่าไหร่ ยูทิลิตี้ของมันก็จะสูงขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น ก็นำไปสู่รายได้ค่าธรรมเนียมที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
นาย Pal กล่าวเพิ่มเติมว่า เครือข่าย Ethereum นั้นมีลักษณะคล้ายกับ Bitcoin ในช่วงเริ่มต้น และที่ผ่านมามีการเติบโตเร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดพุ่งขึ้นในภายหลัง ซึ่งเขาได้กล่าวว่า
“ ผมมองว่า BTC จะเป็น collateral layer ที่สมบูรณ์แบบ แต่ ETH อาจจะใหญ่กว่าในแง่ของมูลค่าตลาดในอีก 10 ปี” เขากล่าวเสริมว่า “ เงินและ collateral เป็นเพียงชั้นฐาน ทุกอย่างสามารถต่อยอดได้ การเก็บมูลค่านับเป็น collateral แต่ความไว้วางใจและการแลกเปลี่ยนมูลค่านั้นใหญ่กว่า”