<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ธนาคาร และสถาบันการเงินในไทยเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดคริปโต จะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในปีนี้เราได้เห็นธนาคารและสถาบันทางการเงินยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศกระโดดเข้าร่วมวงการคริปโตกันอย่างมากมายนำโดยรุ่นพี่อย่าง Grayscale, JP Morgan และ Goldman Sachs เป็นต้น ซึ่งเป็นชนวนให้ธนาคารและสถาบันอื่น ๆ ทั่วโลก ได้มีความสนใจในการเป็นส่วนหนึ่งของวงการ “สกุลเงินดิจิทัล” ที่อาจมาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้เช่นกัน

และล่าสุดกระแสดังกล่าวได้รุกเข้ามาถึงธนาคารและสถาบันในไทยนั่นก็คือ กสิกร บิซิเนส – เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBGT ที่ให้การสนับสนุนธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในการเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำธนาคารดิจิทัล ตามที่ทาง Siam Blockchain ได้รายงานไปในช่วงเช้าวันนี้

นับเป็นการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วของภาคสถาบันการเงินในไทย ซึ่งการที่ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศกำลังเดินหน้าเข้าสู่เทคโนโลยีดังกล่าวและเข้ามาเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดคริปโต จะส่งผลอย่างไรต่อตลาด ทิศทางการเงินในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เราจะพาไปหาคำตอบกันในบทความนี้

หรือนี่จะเป็นชนวนให้ธนาคารและสถาบันอื่น ๆ หันมาสนใจตลาดคริปโตกันเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ในปีที่ผ่านมากระแส Cryptocurrency หรือ สกุลเงินดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทกับผู้เล่น “รายย่อย” เป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในองค์กรหรือแม้แต่การคิดค้นโปรเจกต์บนโลกคริปโต ซึ่งนับว่ากระแสยังไม่กระจายตัวเป็นวงกว้างไปถึงระดับองค์กรใหญ่ ๆ ภายในประเทศ

โดยก่อนหน้านี้มีเพียงธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่เริ่มเคลื่อนไหวในวงการคริปโตมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยการจับมือกันระหว่าง SCB 10X กับ Alpha Finance Labs

และล่าสุดเมื่อธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างกสิกรกระโดดเข้ามาในโลกสกุลเงินดิจิทัลแล้ว อาจกล่าวได้ว่านี่จะเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้องค์กรใหญ่ ๆ ของประเทศกระโดดตามกันเข้ามา

โดยสิ่งที่ KBGT ได้เข้าไปสำรวจและเตรียมความพร้อมสำหรับโลกการเงินยุคใหม่นั่นก็คือ “Decentralized Finance” หรือ Defi ซึ่งมาแรงอย่างมากในปีนี้ โดย Defi เป็นระบบการเงินที่ใช้เทคโนโลยี “Blockchain” เข้ามาจัดการแทนตัวกลางอย่างสถาบัน

ซึ่งหากสถาบันต่าง ๆ ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีเหล่านี้ มูลค่าของตลาดจะเติบโตได้อีกมากมายจากการเข้ามาของบรรดาสถาบันในประเทศและความเป็นไปได้ของประชาชนในการเข้าถึงเทคโนโลยีก็จะง่ายขึ้น ผลประโยชน์จะกลับมาตกที่ประชาชนทั่วไปที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบใหม่

Thailand Opens to Crypto as SEC Approves Seven Exchanges - Ethereum World  News

บทเรียนจากสถาบันยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง

ตามที่กล่าวไปต้นบทความว่าสถาบันรุ่นพี่ระดับโลกอย่าง Grayscale, JP Morgan และ Goldman Sachs ที่เข้ามายังโลกของคริปโตแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน Cryptocurrency , การใช้ Bitcoin เป็น Store of Value, การนำ Bitcoin มาเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง หรืออื่น ๆ อีกมากมาย

เป็นทางเลือกในการตัดสินใจที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งที่นอกจากจะเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทแล้วยังเป็นกระจายความเสี่ยง ยอมรับความเปลี่ยนแปลงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้หากนำไปประยุกต์ใช้หรือศึกษาเพิ่มเติมอาจส่งผลดีกับตัวสถาบันหรือองค์กรเป็นแน่

อย่างไรก็ตามนี่ยังคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยรวมไปถึงองค์กรใหญ่ ๆ ในประเทศอาจต้องใช้เวลาในศึกษา ปรับตัวและเปลี่ยนแปลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มมีการเคลื่อนไหวบ้างแล้วไม่ว่าจะเป็น ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ

ตลาดคริปโตและทิศทางการเงินในอนาคตจะเป็นอย่างไรหลังสถาบันเริ่มเข้ามา 

การที่สถาบันระดับประเทศเข้ามายังตลาดคริปโตแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตลาด อีกทั้งเม็ดเงินที่จะเข้ามายังตลาดแห่งนี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ความน่าเชื่อถือ มูลค่าที่เพิ่มสูง ความผันผวนน้อยลง เป็นต้น

อีกทั้งยังส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยในตลาดคริปโต และในอนาคตอาจได้เห็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มาจากภาคสถาบันของประเทศที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของผู้คน

ดังเช่นโครงการ “อินทนนท์” ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำลังพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง (CBDC) ในนามบาทดิจิทัล ซึ่งล่าสุดได้มีการนำมาใช้ทดลองในการโอนเงินระหว่างประเทศและผลตอบรับก็เป็นไปในทิศทางที่ดี

ต้องยอมรับว่านี่อาจเป็นยุค Disruption กล่าวคือหากองค์กรใดไม่ปรับตัวตามให้ทันกับเทคโนโลยีปัจจุบัน อาจเสียโอกาสหรือผลประโยชน์ในการดำเนินงาน ซึ่งธนาคารและสถาบันในประเทศได้แสดงให้เห็นแล้วในการปรับตัวตามกระแสและเทคโนโลยีสมัยใหม่

การเคลื่อนไหวของภาคธนาคารและสถาบันระดับประเทศในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าการปรับตัวนั้นมาถึงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยียุคใหม่ หรือการนำสิ่งที่มีอยู่มาใช้ควบคู่กันไป

ในระยะยาวหากมีการสนับสนุนจากสถาบัน Cryptocurrency อาจกลายเป็น Network Effect ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ทำให้มูลค่าของตลาดแห่งนี้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก ต้องติดตามกันต่อว่าจะมีธนาคารหรือถาคสถาบันใดเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดแห่งนี้อีก โปรดอย่าพลาดติดตามข่าวสาร

บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร